News
icon share

เศรษฐีไทยแห่ซื้ออสังหาฯ ตปท. กระจายเสี่ยง ‘อังกฤษ-ญี่ปุ่น’ฮอต!

jitkamon.k 2022-04-01 11:14:04
เศรษฐีไทยแห่ซื้ออสังหาฯ ตปท. กระจายเสี่ยง ‘อังกฤษ-ญี่ปุ่น’ฮอต!

เทรนด์ลงทุนอสังหาริมทรัพย์ “นอกบ้าน” ฮิต!! กลุ่มเศรษฐีไทยขนเงินลงทุน "อังกฤษ-ญี่ปุ่น” หลังเผชิญปัจจัยเสี่ยงในไทยรอบด้าน ทั้งภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวยาวต่อเนื่องผลตอบแทนดอกเบี้ยต่ำ! การกระจายความเสี่ยงไปลงทุนอสังหาฯ ในต่างประเทศจึงเป็นหนึ่งในทางเลือกที่น่าสนใจ

 

“สุมิตรา วงภักดี” กรรมการผู้จัดการ บริษัท เทอร์ร่า มีเดีย แอนด์คอนซัลติ้ง จํากัด หรือ เทอร์ร่า บีเคเค กล่าว ปัจจุบันคนไทยที่มีกำลังซื้อทรัพย์นิยมที่เป็นลงทุนซื้ออสังหาฯ ในต่างประเทศมากขึ้น ในช่วงจังหวะที่ภาวะเศรษฐกิจโลกกำลังฟื้นตัว หลังต้องเผชิญหน้ากับความเสี่ยงรอบด้าน ไม่ว่าจะเป็นภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว ดอกเบี้ยต่ำ 

 

“ผลจากวิกฤติโควิด-19 ที่ผ่านมา กลุ่มคนที่รวยก็ยิ่งรวยมากขึ้น และมีเงินเหลือพอที่ออกไปลงทุนในอสังหาฯ ต่างประเทศมากขึ้น เพราะถือเป็นสินทรัพย์ที่สามารถสร้างผลตอบแทนได้สูง”

 

ขณะที่อสังหาฯ ในประเทศไทยชะลอตัว ราคาที่ดินไม่ได้ปรับตัวลดลง ขณะที่ภาพรวมเศรษฐกิจไม่ดีบวกดอกเบี้ยต่ำ รวมทั้งรัฐลดการคุ้มครองเงินฝากที่ผู้ฝากแต่ละรายมีชื่ออยู่ในสถาบันการเงินแต่ละแห่ง เหลือ 1 ล้านบาท โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 11 ส.ค. 2564 ทำให้เศรษฐีไทยส่วนหนึ่งย้ายเงินไปลงทุนในต่างประเทศมากขึ้น เพราะทำให้เขาได้รับสิทธิพิเศษทางภาษีด้วยส่วนหนึ่ง


สุมิตรา กล่าวว่า การที่คนไทยส่วนหนึ่งนิยมลงทุนอสังหาฯ ในอังกฤษ เพราะมีสถาบันการศึกษาที่มีชื่อเสียง คนไทยนิยมส่งลูกหลานไปเรียนที่อังกฤษ ซึ่งใกล้กับประเทศไทยมากกว่าสหรัฐ โดยเฉพาะกลุ่มเศรษฐีใหม่แทนที่จะไปสหรัฐก็มาอังกฤษแทน

 

ประกอบกับระบบการซื้อขายอสังหาฯ ในอังกฤษและสหรัฐเปิดเผยข้อมูลจริงที่สามารถตรวจสอบได้ทำให้เกิดความโปร่งใสในการดำเนินธุรกิจกรรม สร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุนประกอบกับผลตอบแทนจากการลงทุนสูง โดยเฉพาะอังกฤษ เพราะคนย้ายมาเรียนในอังกฤษมากขึ้นเพราะระยะเวลาในการเรียนสั้นและเดินทางสั้นกว่าสหรัฐ

 

ปัจจุบันราคาอสังหาฯ ในประเทศญี่ปุ่นหากไม่ใช่ที่ดินในเมืองใหญ่ เช่น โตเกียว ไม่มีรถไฟฟ้า แต่อยู่ในต่างจังหวัดราคาที่ดินจะถูกกว่าเมืองไทย เพราะประชากรญี่ปุ่นส่วนใหญ่เป็นผู้สูงวัย ในต่างหวัดแทบไม่มีคนอยู่แล้ว ที่ดิน 10 ไร่ราคาเพียง 1 ล้านบาท 


ทั้งนี้ เนื่องจากดีมานด์หลักจะอยู่ในเมืองใหญ่ที่ผู้คนใช้ชีวิตในการทำงานประกอบกับว่า รัฐบาลญี่ปุ่นสนับสนุนให้คนต่างชาติเข้าไปซื้อเพื่อเกิดเงินทุนหมุนเวียนและเขาได้ภาษี ส่วนที่ฮอกไกโดเป็นเมืองท่องเที่ยว ที่นักท่องเที่ยวทั่วโลกนิยมไปเที่ยว การซื้อเพื่อลงทุนน่าสนใจหลังจากโควิดคลี่คลายเชื่อว่า ดีมานด์กลุ่มนักท่องเที่ยวกลับมาแบบถล่มทลายมีโอกาสที่ได้ผลตอบแทนสูงขึ้นและส่วนหนึ่งคนไทยชื่นชอบประเทศญี่ปุ่นอยู่แล้ว

 

สอดคล้องกับ ปพิณริยา พึ่งเขื่อนขันธ์ หัวหน้าแผนกซื้อขายที่พักอาศัยรายย่อย ซีบีอาร์อี กล่าว เทรนด์การซื้ออสังหาฯ ในต่างประเทศยังคงได้รับความสนใจต่อเนื่องขึ้นเรื่อยๆ แม้ว่า 2 ปีที่ผ่านมา จะมีอุปสรรคในการเดินทางแต่ยังมีการซื้อขายกันผ่านช่องทางออนไลน์ โดยเฉพาะการลงทุนอสังหาฯ ในประเทศอังกฤษก็ยังมีเพิ่มขึ้นมาก 

 

เนื่องจากอังกฤษถือเป็นประเทศที่เป็นผู้นำทางด้านการศึกษา มีสถาบันการศึกษาระดับโลกตั้งอยู่ มีแหล่งท่องเที่ยว ชอปปิงจำนวนมาก กระบวนการซื้อขาย การถือครองค่อนข้างโปร่งใส สถานการณ์เมืองการปกครองมีเสถียรภาพ รวมทั้งการเงิน เป็นปัจจัยสนับสนุนให้ลูกค้าสนใจซื้ออสังหาฯ ในประเทศอังกฤษมากขึ้น

 

ฉะนั้นกลุ่มคนที่ซื้อเพื่อลงทุนจึงนิยมมากเป็นอันดับต้นๆ จุดประสงค์แรกส่วนใหญ่ซื้อเพื่อให้บุตรหลานได้พักอาศัยระหว่างที่ศึกษาอยู่ในประเทศอังกฤษ หลังจากนั้นเริ่มคุ้นเคยกับกระบวนการซื้อขาย ภาษี ฯลฯ จุดประสงค์การซื้อถัดมาเพื่อลงทุน ปล่อยเช่ามากขึ้น หรือมีการซื้อเพื่อเก็งกำไรในอนาคต

 

ซึ่งปัจจุบันค่าเงินบาทอยู่ในอัตราที่น่าลงทุน สำหรับตลาดญี่ปุ่นจะแตกต่างกับตลาดอังกฤษ คนไทยเริ่มให้ความสนใจในช่วง 4-5 ปี ที่ผ่านมาโดยเฉพาะ “ฮอกไกโด” เป็นจังหวัดตั้งอยู่ทางตอนเหนือสุดของประเทศญี่ปุ่นเพราะลูกค้ากลุ่มที่ซื้อเพื่อความสุขของตนเองตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของตนเอง

 

เพื่อเล่นสกีสโนว์บอร์ดที่สำคัญบางโครงการให้อัตราผลตอบแทนจากการปล่อยเช่า (Rental Yield) ในขณะที่ตลาดของประเทศอังกฤษซื้อเพื่อลูกหลานเป็นหลัก ทำให้คนไทยสนใจที่ซื้ออสังหาฯในต่างประเทศเพิ่มขึ้น

 

ขณะเดียวกัน เทรนด์อสังหาฯ ในประเทศอื่นๆ ยังคงมีอยู่ เช่นในสหรัฐ ที่มีสถาบันการศึกษาที่ตอบโจทย์สำหรับคนที่ต้องการส่งลูกหลานไปเรียน เพียงแต่ว่าระยะเวลาในการเดินทางไกลกว่าอังกฤษ หรืออีกประเทศที่ได้รับความสนใจ คือออสเตรเลีย แต่ยังไม่ถึงขั้นบูม! ในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา เพราะยังไม่ได้มีการทำการตลาดอย่างจริงจังเหมือนกับประเทศอังกฤษ ที่ต้องใช้ระยะเวลาให้ความรู้กว่า 10 ปี

 

ขอบคุณภาพและข่าวจากกรุงเทพธุรกิจ
https://www.bangkokbiznews.com/business/988129

 

>> ช่องทางในการติดตามข่าวสาร <<
ไม่พลาดข่าวสำคัญ แค่กดเป็นเพื่อนกับ ไลน์ @livinginsider ที่นี่

บทความอื่นๆ

livinginsider livinginsider