รายการโปรด
สวัสดีครับ เจอกันอีกครั้งกับประกันเรื่องใกล้ตัว กับ Art Living Insure ครับ
มา EP นี้เรามาพูดถึงเรื่องใกล้ตัวเรากันบ้างดีกว่า เพื่อน ๆ คนไหนไม่เคยหกล้มบ้าง ขอให้ยกมือขึ้น!!!! ผมว่าไม่น่าจะมีแน่ ๆ บางคนล้มเป็นตุ๊กตาเลยก็มี หรือบางคนไม่ได้ล้มเองแต่มีคนอื่นทำให้ล้มก็มี บางคนพระศุกร์เข้าพระเสาร์แทรก แถมดวงตกอีกต่างหาก เกิดอุบัติเหตุเล็ก ๆ น้อย ๆ เป็นว่าเล่น บางครั้งถึงกับเลือดตกยางออกต้องไปหาหมอเพื่อทำแผลกันเลยทีเดียว
เห็นไหมครับว่า อุบัติเหตุมันเป็นเรื่องใกล้ตัวกับเรา แม้จะอยู่บ้านก็มีโอกาส เคยไหม? เท้าเราทะเลาะกับบันไดบ้าน นิ้วเท้าเราโดยเฉพาะนิ้วก้อยที่ชอบทะเลาะกับมุมเตียง ผมว่าต้องมีกันบ้าง จะให้ป้องกันก็ลำบาก บางครั้งมันก็เกิดจากคนอื่น หากเจ็บน้อยก็ดีหน่อยแค่เอายาทาก็หาย แต่หากเจ็บเยอะนี่สิ ต้องไปหาหมอเสียเงินเสียทองเพื่อจ่ายค่ารักษากันไปอี๊ก....
วันนี้ผมขอนำเสนอแผนประกันภัยที่หลายคนมักจะมองข้ามถึงประโยชน์ที่มี ซึ่งนั่นก็คือ ประกันภัยอุบัติเหตุ ชื่อตรงตัวเลยนะครับ เป็นประกันที่ให้ความคุ้มครองเมื่อเราเกิดอุบัติเหตุนั่นเอง จะเจ็บเล็ก เจ็บน้อย หรือเจ็บมาก หากต้องเข้ารักษาพยาบาล มันสามารถเบิกได้นะ บางบริษัท ฯ ไม่ต้องทำเรื่องเบิกค่ารักษาให้เสียเวลาเลย แค่ยื่นบัตรประชาชนหรือบัตรประกัน ( Care Card ) ให้กับเจ้าหน้าที่ก็จบเลยครับ...
แล้วเจ้าประกันภัยอุบัติเหตุนี่มันกี่แบบกัน?
ประกันภัยอุบัติเหตุจะมี 2 แบบ ให้เลือกซื้อกันคือ
1.แบบ อ.บ.1 จะให้ความคุ้มครองในกรณีเสียชีวิต สูญเสียอวัยวะ สายตา หรือทุพพลภาพถาวรสิ้นเชิง และ
2.แบบ อ.บ.2 จะให้ความคุ้มครองในกรณีเสียชีวิต สูญเสียอวัยวะ สายตา หรือทุพพลภาพถาวร และเพิ่มความคุ้มครอ
การสูญเสียนิ้ว การสูญเสียรับฟังเสียง การพูดออกเสียง และทุพพลภาพถาวรบางส่วน เข้ามาด้วย ซึ่งทั้ง 2 แบบ เบี้ยจะต่างกันไม่มาก ถ้าจะซื้อทั้งที ผมแนะนำให้ซื้อแบบ อ.บ. 2 ไปเลย เพราะครอบคลุมมากกว่า (สามารถดูความคุ้มครองในแผนประกันที่หลาย ๆ บริษัทเสนอขายได้เลย)
แล้วความคุ้มครองมันมีอะไรบ้างเคยสงสัยกันไหมครับ?
ประกันภัยอุบัติเหตุจะเน้นคุ้มครองการเสียชีวิตเนื่องจากอุบัติเหตุเป็นหลัก ไม่ว่าจะด้วยอุบัติเหตุจากสาเหตุอะไรก็แล้วแต่ (ไม่รวมการฆ่าตัวตาย) และยังรวมไปถึงการถูกฆาตกรรม ถูกทำร้ายร่างกายจะโดยเจตนาหรือไม่ก็ตาม บริษัทประกันภัยจะชดเชยค่าสินไหมทดแทนให้ตามทุนที่เราซื้อไว้
บางแผนมีเบิ้ลให้ด้วยนะครับหากเสียชีวิตจากอุบัติเหตุสาธารณะ (บนรถไฟฟ้า รถเมล์ รถร่วม รถตู้ หรือในลิฟต์) หรือในวันหยุดราชการ คือ จะได้รับความคุ้มครองเป็น 2 เท่าจากทุนหลัก หรือ 3 เท่าจากทุนหลัก หากเสียชีวิตจากอุบัติเหตุ บนรถเมล์ ในวันหยุดราชการ แต่.....อย่าใช้ความคุ้มครองนี้เลยครับ เอาไว้เป็นมรดกให้ลูกให้
หลานมันเถ๊อะ.....
มาดูความคุ้มครองที่เป็นประโยชน์กับเรากันบ้างดีกว่า
อย่างแรกเลยคือ ค่ารักษาพยาบาล ตัวนี้บอกเลยว่าดี!!! หากเราเกิดอุบัติเหตุไม่ว่าจะหกล้ม ขาหัก แขนหัก หัวแตก สุนัขกัด งูกัด หรือโดนตะปูตำ ทำให้ต้องเข้ารับการรักษาที่สถานพยาบาลเราสามารถเบิกได้ ยิ่งเป็นสถานพยาบาลที่มีสัญญากับบริษัทประกันภัยที่เราได้ซื้อกรมธรรม์ไว้แค่ยื่นบัตรประชาชนหรือบัตรประกัน (Care Card) ก็จบเลยครับ
ไม่ต้องเสียเวลาส่งเอกสารเบิกเคลมให้ยุ่งยาก เพราะทางสถานพยาบาลจะทำเรื่องเบิกเคลมกับบริษัทประกันภัยให้เราเอง แต่......เราต้องดูดี ๆ ว่าแผนประกันที่เราซื้อไว้คุ้มครองรวมไปถึงการขับขี่หรือโดยสารรถจักรยานยนต์ด้วยหรือเปล่า เพราะบางที่ไม่คุ้มครองตรงนี้ให้นะครับ
อย่างที่สองคือ เงินชดเชยรายวันหากต้องเข้ารักษาตัวเป็นผู้ป่วยใน ๆ รพ. ตรงนี้! ย้ำเลยนะครับ ตรงนี้! เราสามารถเบิกค่าชดเชยรายวันได้ตามจำนวนวันที่เราเข้ารับการรักษา มีชดเชยให้ตั้งแต่หลักร้อยไปจนถึงหลักพันบาทต่อวัน แต่...ต้องดูดี ๆ ว่าแผนประกันภัยที่เราซื้อมีความคุ้มครองตรงนี้ไหมและบางบริษัทมีการกำหนดจำนวนวันที่สามารถเบิกได้สูงสุดเอาไว้ด้วย
อย่างที่สามคือ คุ้มครองหนี้สินค้างชำระ เฮ้ย.....มันมีด้วยหรอนี่!!! อุ๊ต๊ะ! ผมอยากบอกว่ามีสิครับเจ้านาย!!! ตัวนี้หากผู้เอาประกันภัยเสียชีวิตจากอุบัติเหตุ บริษัทประกันภัยจะให้ความคุ้มครองหนี้สินค้างชำระตามกฎหมาย เช่น บัตรเครดิต โดยการจ่ายค่าสินไหมทดแทนให้กับผู้รับผลประโยชน์ตามทุนที่ซื้อไว้ เพื่อนำไปชำระหนี้สินดังกล่าวของผู้เอาประกันภัยที่มีอยู่ก่อนการเสียชีวิต (ยกเว้น หนี้รัก.....ตัวนี้กรมธรรม์ไหน ๆ ก็ไม่คุ้มครอง...อิอิ)
อย่างที่สี่คือ คุ้มครองทุนการศึกษาให้บุตร ตัวนี้เรียกว่า โอ้โห....มันจะเต็มคาราเบลเกินไปมุ้ย..อันนี้ผมบอกเลยว่าดี เพราะหากคนที่บุตรกำลังศึกษาอยู่ความคุ้มครองตัวนี้จะช่วยได้ในระดับหนึ่งเลยทีเดียวเพราะบริษัทประกันภัยจะจ่ายค่าสินไหมทดแทนให้กับบุตรที่เป็นผู้รับผลประโยชน์ของผู้เอาประกันภัย (บิดา มารดา) ที่เสียชีวิตจากอุบัติเหตุโดยตรง ตัวนี้ผมเรียกว่า ทุนมรดกทางการศึกษา
พูดถึงความคุ้มครองแล้ว เรามาดูเงื่อนไขการซื้อกันดีกว่าว่ามีอะไรบ้าง?
ปกติแล้วประกันภัยอุบัติเหตุจะกำหนดอายุของผู้สมัครเอาไว้ บางที่เริ่มสมัครได้ตั้งแต่แรกเกิด บางที่เริ่มสมัครได้ตอนอายุ 15 ปี และไปจบที่ 60 - 70 ปี ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขการรับประกันของแต่ละบริษัท อีกสิ่งหนึ่งที่เป็นตัวกำหนดในการซื้อประกันอุบัติเหตุคือ “ชั้นอาชีพ” แล้วมันคืออะไร? ผมขอตอบง่าย ๆ เลย ชั้นอาชีพคือ อาชีพที่เราทำอยู่ในปัจจุบันนั่นแระ แต่บางคนอาจจะไม่มีก็ให้ถือว่าเป็น พ่อบ้านหรือแม่บ้าน กันไป
ตัวชั้นอาชีพนี้แบ่งออกเป็น 4 ชั้น (ไม่ใช่เนื้อหมูนะครับ) เอาง่าย ๆ ผมขออธิบายดังนี้
อาชีพชั้น 1 ลักษณะงานที่ทำส่วนใหญ่ทำงานประจำในสำนักงาน และทำงานที่ไม่ได้ใช้เครื่องจักร เช่น ผู้บริหาร พนักงานบริษัท แพทย์ เภสัชกร พยาบาล ข้าราชการ เป็นต้น
อาชีพชั้น 2 ลักษณะงานที่ทำส่วนใหญ่อยู่นอกสำนักงาน หรือต้องทำงานกลางแจ้งตลอดเวลา เป็นกลุ่มช่างฝีมือที่มีความชำนาญและทักษะ บางครั้งอาจจะมีการใช้เครื่องจักร เช่น ตัวแทน/นายหน้า วิศวกร ช่างไม้ เจ้าของกิจการขนาดเล็ก เป็นต้น
อาชีพชั้น 3 ลักษณะงานที่ทำส่วนใหญ่มีการใช้เครื่องจักรกลหนัก หรือเป็นผู้ใช้แรงงาน หรือทำงานนอกสำนักงานเป็นประจำ เช่น ผู้ที่ปฏิบัติงานด้านช่าง ด้านการผลิต การขนส่ง พนักงานขาย นักแสดง มัคคุเทศก์ นักข่าว พนักงานขับรถ เป็นต้น
อาชีพชั้น 4 ลักษณะงานที่มีโอกาสเกิดอุบัติเหตุมากที่สุด มีความเสี่ยงสูงมากกว่าอาชีพชั้นอื่น ๆ เป็นพิเศษ เช่น นักแสดงผาดโผน คนงานก่อสร้าง พนักงานรักษาความปลอดภัย พนักงานรับส่งเอกสาร เป็นต้น
ฉะนั้น ก่อนจะทำประกันเราต้องรู้ตัวเองว่าทำอาชีพอะไร เข้าเงื่อนไขการรับประกันภัยหรือไม่ก่อนซื้อ จะได้หรือไม่ต้องมีข้อโต้แย้งกันตอนหลัง
แล้วเราจะซื้อประกันภัยอุบัติเหตุอย่างไรให้คุ้มค่า?
ก่อนอื่นเราต้องดูว่าบริษัทที่เราทำงานอยู่นั้นมีประกันภัยกลุ่มให้ไหม มีความคุ้มครองค่ารักษาพยาบาลจากอุบัติเหตุด้วยหรือไม่ หากมี...เราก็สามารถทำประกันที่ทุนที่ไม่ต้องสูงมากเพราะว่าได้ทุนค่ารักษาจากสวัสดิการที่ตนเองมีอยู่แล้วส่วนหนึ่ง
แต่ถ้าไม่มีละ....เราก็ต้องเลือกซื้อทุนประกัน ความคุ้มครองที่เหมาะสมกับเรา และสำคัญที่สุดคือ เบี้ยประกันภัยที่คิดว่าเราจ่ายไหว เพราะการซื้อประกันภัยนั้นไม่มีผิด ไม่มีถูก มีแต่ความเหมาะสมกับตัวเราเท่านั้น ตัวเราเองเป็นคนกำหนดได้ครับ เช่น เราตั้งงบประมาณว่า เบี้ยที่เราจ่ายได้ต่อปีต้องไม่เกิน 2,000 บาท
เราก็ไปหาเลยว่ามีบริษัทประกันภัยไหนขายประกันภัยอุบัติเหตุที่มีเบี้ยไม่เกิน 2,000 บาท พอเจอแล้ว ค่อยนำแผนมาเปรียบเทียบความคุ้มครองอีกที แล้วซื้อตัวที่ตอบโจทย์เรามากที่สุด ตรงนี้แหละผมว่ามันจะคุ้มค่ากับตัวเราเองมากที่สุด
ทั้งนี้ อุบัติเหตุ ผมย้ำนะครับว่ามันเกิดขึ้นได้เสมอไม่ว่าจะเกิดจากตัวเราเองหรือเกิดจากคนอื่น ซึ่งผมอยากจะบอกว่าประกันมีไว้ไม่ได้ใช้ ดีกว่าอยากใช้แต่ไม่มีนะครับ
มาถึงตอนท้ายของ EP ที่เจ็ดกันแล้ว ทุกครั้งที่เราจะทำประกันภัยผมขอแนะนำว่า “ผู้ซื้อควรทำความเข้าใจในรายละเอียดความคุ้มครองและเงื่อนไขก่อนตัดสินใจทำประกันภัยทุกครั้ง” และในการทำประกันภัยจะต้องยึดหลักที่ว่า “ความสุจริตใจอย่างยิ่งในการทำประกัน” เพราะจะได้ไม่ทำให้เกิดปัญหาในตอนเคลมกันครับ
จบแล้วครับสำหรับบทความใน EP ที่เจ็ด และใน EP ต่อไปผมจะมารีวิวหรือแนะนำแผนอะไรต่อ รอติดตามกันนะครับ หรือถ้าใครมีข้อสงสัย หรือต้องการให้รีวิวแผนประกันอะไรเพิ่มเติมสามารถส่งมาได้เลยนะครับ
แล้วพบกันใหม่กับ ประกันเรื่องใกล้ตัว กับ Art Living Insure สำหรับวันนี้สวัสดีครับ
รีวิววิเคราะห์ได้ดีมากเลยครับ
มีความหลายหลายในการรีวิวดีค่ะ
เนื้อหาสาระเน้นมาก เนื้อล้วนๆๆๆ
เป็นประโยชน์มากครับ กำลังตัดสิ้นใจพอดีครับ
ได้รับความรู้เยอะเลย
น่าติดตามค่ะ