รายการโปรด
สระว่ายน้ำถือเป็นอีกหนึ่งฟังก์ชันที่หลายคนอยากมีไว้ที่บ้าน แต่การจะทำสระว่ายน้ำไม่ใช่แค่ต้องมีพื้นที่เพียงพอเท่านั้น แต่ยังมีเรื่องของระบบบำบัดน้ำที่เราต้องเลือกให้เหมาะสมเพื่อสุขอนามัยที่ดี
เพราะแต่ละระบบมีข้อดีและข้อเสียแตกต่างกันไป ซึ่งบทความนี้จะพาไปรู้จักสระว่ายน้ำระบบต่าง ๆ เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจ
1. สระว่ายน้ำระบบคลอรีน
สระว่ายน้ำระบบคลอรีนเป็นระบบที่เราคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี วิธีการบำบัดน้ำก็ไม่ได้ซับซ้อน แค่เติมคลอรีนลงไปในสระอย่างสม่ำเสมอในปริมาณที่เหมาะสม ก็ช่วยบำบัดน้ำในสระให้สะอาดได้โดยที่ไม่ต้องติดตั้งระบบอะไรเพิ่มเติมอีก
ซึ่งคลอรีนสามารถลดจุลินทรีย์และฆ่าเชื้อโรคในสระว่ายน้ำได้ ทั้งยังช่วยป้องกันตะไคร่น้ำ ที่สำคัญคือราคาถูก ถ้าเป็นแบบผงจะอยู่ที่ประมาณ 100-359 บาท/กก. แบบเกล็ด 150-359 บาท/กก. และแบบก้อนประมาณ 275 บาท/กก. ซึ่งปริมาณคลอรีนที่ใช้ก็จะแตกต่างกันไปตามขนาดของสระว่ายน้ำ
แต่ด้วยความที่คลอรีนเป็นสารเคมี มีฤทธิ์กัดกร่อนในระยะยาว ทำให้เกิดผลข้างเคียงกับผู้ใช้งาน เช่น ระคายเคืองต่อผิวหนัง ตาแห้ง ผมแห้ง ถ้าสูดดมไปนาน ๆ ก็จะทำให้แน่นหน้าอก หายใจไม่สะดวกได้
2. สระว่ายน้ำระบบเกลือ
สระว่ายน้ำระบบเกลือเป็นการเติมเกลือบริสุทธิ์ลงไปในสระ แล้วเครื่อง Salt Generator จะเปลี่ยนน้ำเกลือให้กลายเป็นคลอรีน เพื่อไปบำบัดน้ำในสระให้สะอาด
และด้วยความที่คลอรีนที่ได้มาจากเกลือบริสุทธิ์ จึงทำให้สระว่ายน้ำระบบเกลือมีความปลอดภัย ไม่ระคายเคืองต่อร่างกาย เหมาะกับคนที่แพ้คลอรีน ไม่มีสิ่งปนเปื้อนตกค้าง และราคาถูก โดยเกลือบริสุทธิ์สำหรับสระว่ายน้ำ 25 กก. ราคาจะอยู่ที่ประมาณ 140-360 บาท
แม้เกลือบริสุทธิ์สำหรับสระว่ายน้ำจะราคาไม่แพง แต่การบำบัดน้ำในสระก็ต้องติดตั้งเครื่อง Salt Generator ซึ่งราคาเริ่มต้นประมาณ 20,000 บาท ไปจนถึงหลักแสนเลยก็มี ทำให้ต้องใช้งบมากกว่าระบบคลอรีน อีกทั้งสระว่ายน้ำระบบเกลือทำให้เกิดตะไคร่น้ำได้ง่าย
3. สระว่ายน้ำระบบน้ำแร่
สระว่ายน้ำระบบน้ำแร่ จะใช้เครื่องผลิตอิออนในการฆ่าเชื้อโรค แบคทีเรีย รวมถึงกำจัดตะไคร่น้ำ ทำให้น้ำใสสะอาด โดยไม่ต้องใช้สารเคมี ทำให้มั่นใจได้ว่าน้ำในสระมีความปลอดภัย หากเผลอกินน้ำขณะว่ายน้ำก็ไม่ต้องกังวลว่าจะมีสารเคมีไปทำอันตรายกับร่างกาย
ทั้งนี้ นวัตกรรมที่ดีก็ย่อมมีราคาสูง โดยราคาเครื่องบำบัดน้ำระบบน้ำแร่อยู่ที่ประมาณ 70,000-120,000 บาท
ยังไงก็ตาม แม้ว่าสระว่ายน้ำระบบน้ำแร่จะมีราคาสูง แต่ถ้าเทียบกับการไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการตรวจสารเคมีอย่างต่อเนื่อง ก็นับว่าคุ้มค่า เป็นการจ่ายหนักครั้งเดียวแล้วจบ
4. สระว่ายน้ำระบบโอโซน
สระว่ายน้ำระบบโอโซน จะเป็นการใช้รังสี UV และก๊าซโอโซนในการบำบัดฆ่าเชื้อโรค และสารพิษที่ปนเปื้อนอยู่ในสระว่ายน้ำได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยที่ไม่ต้องกังวลว่าจะมีสารเคมีตกค้างอยู่ในสระ
ซึ่งระบบโอโซนสามารถฆ่าเชื้อโรคได้ดีกว่าคลอรีน 152% และเร็วกว่า 3,125 เท่า ไร้กลิ่น ไร้สารเคมี ไม่เป็นอันตรายต่อร่างกาย ไม่ระคายเคืองผิวหนัง เส้นผม และดวงตา ทั้งยังช่วยยืดอายุการใช้งานของเครื่องกรองได้อีกด้วย
แต่ด้วยกระบวนการทำงานที่ซับซ้อน จึงทำให้สระว่ายน้ำระบบโอโซนมีราคาสูงราว 150,000–200,000 บาท สำหรับใครที่พอจะมีงบเยอะ สระว่ายน้ำระบบโอโซนถือเป็นทางเลือกที่ดีและคุ้มค่ากับราคา
5. สระว่ายน้ำระบบ Fresh Water
สระว่ายน้ำระบบ Fresh Water เป็นระบบไฮบริดที่อาศัยปฏิกิริยาเคมีจากประจุของทองแดงและเงินในการฆ่าเชื้อโรคและแบคทีเรีย ทำให้น้ำในสระใสสะอาดโดยไม่ต้องใช้สารเคมี เหมาะกับคนที่เป็นหอบหืด สะเก็ดเงิน และผิวแพ้ง่าย ไม่ทำให้เกิดการระคายเคืองต่อดวงตา และไม่มีกลิ่น
นอกจากนี้ ระบบ Fresh Water ยังทำให้น้ำในสระมีความบริสุทธิ์ใกล้เคียงกับแหล่งน้ำธรรมชาติ หลังจากว่ายน้ำเสร็จจึงไม่จำเป็นต้องอาบน้ำก็ได้ หรือถ้าเผลอกินน้ำในสระก็ไม่เป็นอันตราย
อีกทั้งยังสามารถนำน้ำไปรดต้นไม้ได้อีกด้วย ส่วนราคาระบบ Fresh Water อยู่ที่ประมาณ 100,000-180,000 บาท
การดูแลสระว่ายน้ำไม่ใช่แค่สูบน้ำออกจากสระ แล้วทำความสะอาดเท่านั้น แต่ยังต้องบำบัดน้ำในสระ เพื่อสุขอนามัยที่ดีด้วย ซึ่งระบบของสระว่ายน้ำก็มีให้เลือกหลายแบบ มีข้อดีข้อเสีย และราคาแตกต่างกันไป
ใครที่กำลังวางแผนทำสระว่ายน้ำไว้ที่บ้าน จึงจำเป็นต้องศึกษาข้อมูลให้ดี เพื่อเลือกติดตั้งระบบสระว่ายน้ำได้อย่างคุ้มค่าและเหมาะสม
บทความที่เกี่ยวข้อง
รวม 10 คอนโด สระว่ายน้ำ 50 เมตร (โอลิมปิกไซซ์) ตอบโจทย์สาย Fit & Firm แน่นอน
สระว่ายในคอนโด ตำแหน่งไหนแจ่ม แบบไหนว้าว
3 ค่าใช้จ่ายที่ต้องเตรียมก่อนซื้อบ้านพร้อมสระว่ายน้ำ งบขนาดนี้รับไหวหรือเปล่า!
ไม่จ่ายค่าส่วนกลาง ผลที่ตามมามีอะไรบ้าง
บทความมีประโยชน์มากค่ะ
ขอบคุณไอเดียแต่งบ้านค่ะ
ดีๆๆๆๆๆๆ มากๆเลย หาอ่านแบบนี้มานานแล้ว
เป็นประโยชน์มากครับ กำลังตัดสิ้นใจพอดีครับ
ขอบคุณที่ผลิตบทความดีๆ มาให้อ่านครับ
ดีไปหมด ไม่มีที่ติเลยจ๊ะ