เมเจอร์ฯ ผนึก 3 กลุ่มทุนญี่ปุ่น ลุยพัฒนาโครงการลักชูรีบนทำเล “พร้อมพงษ์-เจริญกรุง–กรุงเทพกรีฑา”

เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ โชว์ผลงาน 7 เดือนแรก กวาด Presale 8,000 ล้าน พบตลาดลักชูรียังมี Real Demand สูง พร้อมขยายพื้นที่พัฒนาบนทำเล “พร้อมพงษ์-เจริญกรุง–กรุงเทพกรีฑา” เดินหน้าผนึกพันธมิตร 3 กลุ่มทุนญี่ปุ่น “MORI TRUST” มูลค่าโครงการ 2,100 ล้าน และอีก 2 กลุ่มทุน อยู่ระหว่างการเจรจา คาดปิดดีลไม่เกินสิ้นปี

คุณเพชรลดา พูลวรลักษณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์นับเป็นผู้นำด้านการพัฒนาธุรกิจอสังหาฯ ระดับลักชูรีและคอนโดเลี้ยงสัตว์ได้ (Pet Family Residences) บริษัทฯ ยังคงมุ่งมั่นด้วยจุดยืนสู่การเป็น Lifescape Developer

โดยเน้นพัฒนาโครงการอสังหาฯ ระดับลักชูรี ด้วยแนวคิด Craft & Quality ที่สร้างสรรค์ที่อยู่อาศัยเพื่อการใช้ชีวิตอย่างยั่งยืนและเข้าใจรูปแบบไลฟ์สไตล์ที่แตกต่างอย่างต่อเนื่อง จนทำให้เป็นที่ยอมรับในกลุ่มลูกค้าระดับบนตั้งแต่กลุ่ม High-end จนถึง Ultra-Luxury

ปัจจุบัน บริษัทฯ ดำเนินการก่อสร้างและบริหารการขายโครงการที่อยู่ระหว่างดำเนินการพัฒนาทั้งสิ้น 13 โครงการ ได้แก่ โครงการแนวสูง ภายใต้แบรนด์ MUNIQ, MARU, MAVISTA, MARQUIS และ METRIS และโครงการแนวราบ ภายใต้แบรนด์ MALTON, MILFORD และ MAYFIELD รวมถึงโครงการ TEN & ONLY ที่มีเพียง 10 หลังเท่านั้น

โดยใน 7 เดือนแรกปี 2567 ได้รับการตอบรับและความเชื่อมั่นในแบรนด์จากกลุ่มลูกค้า ทำให้มียอด Presale แล้วกว่า 8.000 ล้านบาท ส่วนใหญ่มาจากโครงการระดับ Luxury จนถึง Ultra-Luxury จากแบรนด์ MUNIQ, MAVISTA และ METRIS

ทั้งนี้ สำหรับโครงการ METRIS DISTRICT LADPHRAO จะเริ่มรับรู้รายได้จากการเริ่มโอนกรรมสิทธิ์ตามแผนการโอนในปี 2568 เป็นต้นไป

และในปี 2570–2572 จะรับรู้รายได้จากส่วนแบ่งกำไรการเริ่มโอนกรรมสิทธิ์ Presale ของการร่วมทุนในโครงการ MUNIQ พร้อมพงษ์, MUNIQ เจริญกรุง และ MAVISTA พร้อมพงษ์ รวมมูลค่าโครงการประมาณ 12,000 ล้านบาท

ส่วนโครงการ MARU จุฬาฯ และ MARQUIS พญาไท ซึ่งเป็นโครงการไฮไลต์ของปีนี้ คาดว่าจะเริ่มเปิดขายในไตรมาสที่ 3–4 ของปีนี้

นอกจากนี้ บริษัทฯ ได้ศึกษาและวิเคราะห์ความต้องการของตลาดที่อยู่อาศัยอย่างต่อเนื่อง พบว่ายังมี Real Demand อยู่เป็นจำนวนมาก โดยเป็นกลุ่มคนที่มีไลฟ์สไตล์ที่แตกต่างเฉพาะตัว

ดังนั้น บริษัทฯ จึงทำการศึกษาพฤติกรรม ความต้องการ ประกอบกับการค้นหาพื้นที่ศักยภาพและปัจจัยบวกส่งเสริม เพื่อให้สามารถสร้างสรรค์และดีไซน์ที่อยู่อาศัยพร้อมมอบประสบการณ์การใช้ชีวิตที่ยกระดับคุณภาพชีวิตให้ยั่งยืนเหนือกว่าใคร

โดยพบว่า บนทำเลพร้อมพงษ์-เจริญกรุง-กรุงเทพกรีฑา นับเป็นพื้นที่ที่มีศักยภาพในการพัฒนาโครงการอสังหาฯ ระดับลักชูรีสูง และเป็นที่ต้องการของกลุ่มลูกค้าจำนวนมาก จึงนับเป็นโอกาสดีที่บริษัทฯ จะดำเนินการพัฒนาพื้นที่

โดยมุ่งเป้าหมายสู่การยกระดับโครงการผ่านการร่วมทุนกับกลุ่มบริษัทฯ ที่มีมุมมองตรงกัน และมีประสบการณ์ ความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน ซึ่งบริษัทฯ ได้เตรียมร่วมทุนกับบริษัทกลุ่มทุนจากประเทศญี่ปุ่น 3 กลุ่ม ได้แก่

MORI TRUST ผู้พัฒนาอสังหาฯ ชั้นนำที่พัฒนาโครงการมิกซ์ยูสขนาดใหญ่ในมหานครโตเกียว โดยจะดำเนินการพัฒนาโครงการ มอลตัน เกสต์ กรุงเทพกรีฑา 2 (Malton Gates Krungthep Kreetha II) มูลค่าโครงการประมาณ 2,100 ล้านบาท คาดว่าจะเริ่มเปิดขายในช่วงต้นปี 2568

และอยู่ระหว่างการดำนินการเจรจาในรายละเอียดธุรกิจ อีก 2 กลุ่ม โดยมีมูลค่าโครงการรวมกว่า 7,000 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะสามารถปิดดีลได้ภายในปีนี้

“การที่บริษัทฯ มีการเปลี่ยนแปลงในทิศทางบวก เกิดจากการดำเนินงานตามแผนกลยุทธ์ Diversify Revenue ที่ทำให้พอร์ตของการพัฒนาโครงการอสังหาฯ มีสัดส่วนในการพัฒนาโครงการแนวราบเพิ่มขึ้น สร้างบาลานซ์ รายได้ให้มีความสม่ำเสมอ

รวมถึงสร้างความแข็งแกร่งจากการที่มีพันธมิตรในการร่วมทุนพัฒนาโครงการกับบริษัท ทำให้มั่นใจถึงศักยภาพในการเติบโตของบริษัทที่พร้อมจะก้าวไปข้างหน้าอย่างไม่หยุดยั้ง ทั้งโครงการแนวราบและแนวสูง

นอกจากนี้ ยังสามารถคาดการณ์ได้ว่าจะเริ่มรับรู้รายได้เพิ่มเติมจากโครงการแนวราบในช่วงไตรมาส 3 ปี 2567 และโครงการคอนโดจะเริ่มรับรู้รายได้ในปี 2568 เป็นต้นไป

ซึ่งเป็นไปตามเป้าหมายในการบาลานซ์พอร์ตธุรกิจ การพัฒนาโครงการ และสัดส่วนรายได้ที่มาจากโครงการคอนโด 60% และโครงการแนวราบ ทั้งบ้านเดี่ยว ทาวน์โฮม 40% รวมถึงค่าเช่าจากธุรกิจให้เช่าอาคารพาณิชย์และรายได้จากโรงแรมที่อยู่ในช่วงขาขึ้น” คุณเพชรลดา กล่าวสรุป