News
icon share

สิงห์ เอสเตท เผยรายได้ปี 67 อยู่ที่ 15,095 ล้านบาท เติบโต 3% (YoY) พร้อมโชว์รายได้จากโรงแรมสูงสุดเป็นประวัติการณ์ เตรียมจ่ายเงินปันผล 0.01 บาท/หุ้น

LivingInsider Report 2025-03-05 15:02:56
สิงห์ เอสเตท เผยรายได้ปี 67 อยู่ที่ 15,095 ล้านบาท เติบโต 3% (YoY) พร้อมโชว์รายได้จากโรงแรมสูงสุดเป็นประวัติการณ์ เตรียมจ่ายเงินปันผล 0.01 บาท/หุ้น

 

สิงห์ เอสเตท รายงานผลการดำเนินงานจากการขายและให้บริการของปี 2567 จำนวน 15,095 ล้านบาท ปรับตัวเพิ่มขึ้น 3% จากปีก่อน โดยมีปัจจัยหลักจากผลประกอบการของธุรกิจโรงแรม หนุนด้วยธุรกิจนิคมอุตสาหกรรมและโครงสร้างพื้นฐาน สะท้อนการบริหารรายได้อย่างมีสมดุลระหว่างธุรกิจรายได้ประจำ และธุรกิจการขายอสังหาริมทรัพย์

สิงห์ เอสเตท เผยรายได้ปี 67 อยู่ที่ 15,095 ล้านบาท เติบโต 3% (YoY) พร้อมโชว์รายได้จากโรงแรมสูงสุดเป็นประวัติการณ์ เตรียมจ่ายเงินปันผล 0.01 บาท/หุ้น

 

บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) หรือ (SET:S) ประกาศผลประกอบการประจำปี 2567 มีรายได้จากธุรกิจหลักรวมทั้งสิ้น 15,095 ล้านบาท เตรียมเสนอที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2568 เพื่ออนุมัติจ่ายปันผลสำหรับผลดำเนินงานประจำปี 2567 จำนวน 0.01 บาทต่อหุ้น โดยจะขึ้นเครื่องหมาย XD ในวันที่ 14 มีนาคม 2568 เพื่อกำหนดสิทธิในการรับเงินปันผล

 

สำหรับรายได้ที่เติบโตขึ้นนี้ ประกอบด้วยรายได้จากการขายอสังหาฯ 3,485 ล้านบาท มีสัดส่วนยอดโอนกรรมสิทธิ์ระหว่างโครงการแนวราบและห้องชุด ประมาณร้อยละ 50:50 ขับเคลื่อนจากโครงการศิรนินทร์ เรสซิเดนเซส พัฒนาการ (SIRANINN RESIDENCES Pattanakarn), สริน ราชพฤกษ์-สาย 1(S’RIN Ratchapruek-Sai 1) และ ดิ เอ็กซ์โทร พญาไท-รางน้ำ (THE EXTRO Phayathai-Rangnam) 

 

และรายได้จากธุรกิจให้บริการจำนวน 11,568 ล้านบาท โดยเป็นรายได้หลักจากกลุ่มธุรกิจโรงแรม ที่มาพร้อมปัจจัยบวกจากภาคการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวและกลยุทธ์การดำเนินงานที่เหมาะสม

สิงห์ เอสเตท เผยรายได้ปี 67 อยู่ที่ 15,095 ล้านบาท เติบโต 3% (YoY) พร้อมโชว์รายได้จากโรงแรมสูงสุดเป็นประวัติการณ์ เตรียมจ่ายเงินปันผล 0.01 บาท/หุ้น

 

ทั้งนี้สามารถแบ่งรายละเอียดและแผนการดำเนินงานแบ่งตามประเภทธุรกิจดังนี้

 

ธุรกิจที่พักอาศัย: ในรอบปีที่ผ่านมาตลาดที่พักอาศัยเผชิญความท้าทายจากปัจจัยกดดันต่าง ๆ จากสภาวะเศรษฐกิจ ทำให้กำลังซื้อชะลอตัวลง เป็นผลให้รายได้รวมจากธุรกิจที่พักอาศัยชะลอตัวจากปีก่อน อย่างไรก็ตาม ปี 2567 บริษัทยังเห็นการทยอยโอนกรรมสิทธิ์ของโครงการหลักยังดำเนินไปตามแผน

สิงห์ เอสเตท เผยรายได้ปี 67 อยู่ที่ 15,095 ล้านบาท เติบโต 3% (YoY) พร้อมโชว์รายได้จากโรงแรมสูงสุดเป็นประวัติการณ์ เตรียมจ่ายเงินปันผล 0.01 บาท/หุ้น

 

อาทิ โครงการศิรนินทร์ เรสซิเดนเซส พัฒนาการ (SIRANINN RESIDENCES Pattanakarn) และ ดิ เอส สุขุมวิท 36 (THE ESSE SUKHUMVIT 36) ที่ใกล้ปิดโครงการ (Sold out) ในต้นปี 2568 

 

ในขณะที่โครงการที่เปิดตัวปลายปี 2566 ได้แก่ โครงการสริน ราชพฤกษ์-สาย 1 (S’RIN Ratchapruek-Sai 1) และ ดิ เอ็กซ์โทร พญาไท-รางน้ำ (THE EXTRO Phayathai-Rangnam) หนุนด้วยโครงการจากแบรนด์ใหม่ที่เริ่มเปิดตัวระหว่างปี อาทิ ฌอน (SHAWN) ปัญญาอินทรา และ ฌอน (SHAWN) วงแหวนจตุโชติ ได้รับผลตอบรับที่น่าพอใจ

สิงห์ เอสเตท เผยรายได้ปี 67 อยู่ที่ 15,095 ล้านบาท เติบโต 3% (YoY) พร้อมโชว์รายได้จากโรงแรมสูงสุดเป็นประวัติการณ์ เตรียมจ่ายเงินปันผล 0.01 บาท/หุ้น

 

สำหรับปี 2568 บริษัทฯ เชื่อว่าโครงการที่เปิดตัวใหม่โดยมีรูปแบบของผลิตภัณฑ์แบบใหม่ที่มีแนวคิดที่แตกต่างจากผลิตภัณฑ์เดิมอย่าง โครงการสมิทธ์ รามอินทรา (SMYTH’S Ramintra), สมิทธ์ เกษตร-นวมินทร์ (SMYTH’S Kaset-Nawamin) และสริน พรานนก-กาญจนา (S’RIN Prannok-Kanchana) เป็นโครงการในระดับลักชูรีที่กลุ่มสิงห์ เอสเตท มีความเชี่ยวชาญอยู่แล้ว จะเข้ามาช่วยกระตุ้นยอดขายและการโอนกรรมสิทธิ์ในปี 2568 ได้ 

สิงห์ เอสเตท เผยรายได้ปี 67 อยู่ที่ 15,095 ล้านบาท เติบโต 3% (YoY) พร้อมโชว์รายได้จากโรงแรมสูงสุดเป็นประวัติการณ์ เตรียมจ่ายเงินปันผล 0.01 บาท/หุ้น

 

ธุรกิจโรงแรม: รายได้ของธุรกิจโรงแรมเติบโตขึ้น 7% จากปีก่อน สร้างระดับรายได้สูงสุดในประวัติการณ์ใหม่ติดต่อกันเป็นปีที่สอง แม้ว่าในระหว่างปีจะปิดปรับปรุงโรงแรมทราย ลากูน่า ภูเก็ต ไปเป็นระยะเวลาหกเดือน โดยแล้วเสร็จทั้งสิ้นปลายเดือนพฤศจิกายน 2567 

 

ทั้งนี้ ผลการดำเนินงานโดยรวมในปี 2567 มีอัตราการเข้าพักเฉลี่ยของทั้งพอร์ตฟอลิโอ 68% ใกล้เคียงกับปีก่อน ขณะที่รายได้เฉลี่ยต่อห้อง (RevPAR) ปรับตัวเพิ่มขึ้น 12% จากปีก่อน มาอยู่ที่ระดับราคา 4,336 บาท

สิงห์ เอสเตท เผยรายได้ปี 67 อยู่ที่ 15,095 ล้านบาท เติบโต 3% (YoY) พร้อมโชว์รายได้จากโรงแรมสูงสุดเป็นประวัติการณ์ เตรียมจ่ายเงินปันผล 0.01 บาท/หุ้น

 

โดยมีการขับเคลื่อนจากโรงแรมในประเทศไทย มัลดีฟส์ ฟิจิ และมอริเชียส ซึ่งความต้องการเข้าพักเติบโตอย่างต่อเนื่องตามอุตสาหกรรมท่องเที่ยวที่ฟื้นตัว ผนวกกับกลยุทธ์ของบริษัทฯ ทั้งจากการปรับปรุงคุณภาพสินทรัพย์และการปรับแผนการตลาด นอกจากนี้ ด้วยการบริหารต้นทุน และค่าใช้จ่ายให้มีประสิทธิภาพอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้กำไรสุทธิเติบโตขึ้นเมื่อเทียบกับปีก่อน

 

สำหรับปี 2568 ทางบริษัทฯ มองว่าธุรกิจโรงแรมยังคงเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญในการสร้างรายได้ โดยเฉพาะจากโรงแรมที่เป็นกำลังหลัก เช่น กลุ่มโรงแรมในประเทศไทย ฟิจิ และมัลดีฟส์ มีห้องพักพร้อมขายเต็ม 100% สามารถรองรับความต้องการของนักท่องเที่ยวได้อย่างเต็มที่

สิงห์ เอสเตท เผยรายได้ปี 67 อยู่ที่ 15,095 ล้านบาท เติบโต 3% (YoY) พร้อมโชว์รายได้จากโรงแรมสูงสุดเป็นประวัติการณ์ เตรียมจ่ายเงินปันผล 0.01 บาท/หุ้น

 

ธุรกิจอาคารสำนักงาน: ถึงแม้ว่าธุรกิจอาคารสำนักงานให้เช่ายังอยู่ในช่วงที่เผชิญความท้าทายทั้งจากอุปทานในตลาดปัจจุบันและรูปแบบการทำงานที่เปลี่ยนไป ในปี 2567 บริษัทฯ มีการปรับกลยุทธ์ที่ยังสามารถรักษาอัตราการเช่าของอาคารที่เปิดมานานแล้วเฉลี่ยที่ 81% นอกจากนี้ด้านอาคารเปิดใหม่ S-OASIS อัตราการเช่าทยอยเพิ่มขึ้นตามจำนวนของผู้เช่าใหม่

 

สำหรับปี 2568 บริษัทฯ ยังคงมุ่งมั่นที่จะรักษาอัตราการเช่าเฉลี่ยให้อยู่ในระดับ 80% รวมถึงคาดการว่าอาคารเปิดใหม่ S-OASIS ภายในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2568 จะมีอัตราการเช่าที่ 50% และทำให้ธุรกิจรายได้ประจำเติบโตดีขึ้น

สิงห์ เอสเตท เผยรายได้ปี 67 อยู่ที่ 15,095 ล้านบาท เติบโต 3% (YoY) พร้อมโชว์รายได้จากโรงแรมสูงสุดเป็นประวัติการณ์ เตรียมจ่ายเงินปันผล 0.01 บาท/หุ้น

 

ธุรกิจนิคมอุตสาหกรรมและสาธารณูปโภค: ปัจจุบันโครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ ได้ถูกพัฒนาและก่อสร้างแล้วเสร็จเป็นที่เรียบร้อยในปี 2567 ทางบริษัทฯ เริ่มรับรู้รายได้จากการขายที่ดินจำนวน 56 ไร่ และค่าสาธารณูปโภคที่ทยอยเพิ่มขึ้นตามสัดส่วนการใช้งานที่มากขึ้น

 

นอกจากผลประกอบการจากการดำเนินงานหลัก บริษัทฯ ยังรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากธุรกิจโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนร่วมอีกประมาณ 180 ล้านบาท ถือเป็นอีกหนึ่งธุรกิจที่ช่วยเข้ามาเสริมให้กำไรจากการดำเนินงานที่เป็นรายได้ประจำของบริษัทฯ มีความสม่ำเสมอยิ่งขึ้น

สิงห์ เอสเตท เผยรายได้ปี 67 อยู่ที่ 15,095 ล้านบาท เติบโต 3% (YoY) พร้อมโชว์รายได้จากโรงแรมสูงสุดเป็นประวัติการณ์ เตรียมจ่ายเงินปันผล 0.01 บาท/หุ้น

 

สำหรับปี 2568 กลุ่มสิงห์ เอสเตท ยังมองว่าประเทศไทยยังมีเสน่ห์ต่อนักลงทุนต่างประเทศ ประกอบกับแนวโน้มจากการย้ายฐานการผลิต ดังนั้นจึงวางเป้าหมายการขายที่ดินไว้ที่จำนวน 200 ไร่ โดยบริษัทฯ อยู่ในระหว่างการนำเสนอพื้นที่ให้กับลูกค้าทั้งในและต่างประเทศ

 

ทั้งนี้ ลูกค้าที่ให้ความสนใจ เป็นทั้งธุรกิจอาหารและธุรกิจด้านเทคโนโลยี นับเป็นธุรกิจที่มีอัตราการเจริญเติบโตสูงมาก ซึ่งจะทำให้รายได้จากการขายที่ดินและสร้างผลตอบแทนระยะยาวแก่บริษัทฯ อย่างมีนัยสำคัญ

สิงห์ เอสเตท เผยรายได้ปี 67 อยู่ที่ 15,095 ล้านบาท เติบโต 3% (YoY) พร้อมโชว์รายได้จากโรงแรมสูงสุดเป็นประวัติการณ์ เตรียมจ่ายเงินปันผล 0.01 บาท/หุ้น

 

ฐิติมา รุ่งขวัญศิริโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) หรือ ‘S’ เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานในภาพรวมของสิงห์ เอสเตท ในปี 2567 ยังอยู่ในระดับที่น่าพอใจ ถึงแม้สภาวะตลาดมีผลต่อการชะลอตัวของบางธุรกิจ แต่เพราะกลุยทธ์การลงทุนของเราที่มีการกระจายความเสี่ยงได้อย่างหลากหลายกิจการ ทำให้เราสามารถสร้างผลการดำเนินงานที่เติบโตอย่างต่อเนื่องและมีรายได้อย่างสม่ำเสมอ

 

และมั่นใจว่าในปี 2568 บริษัทฯ จะขับเคลื่อนไปข้างหน้าด้วยความมั่นคง จากการมุ่งเน้นพัฒนาโครงการอสังหาฯ ที่สามารถตอบสนองความต้องการของตลาด สร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่นักลงทุน และการเข้าลงทุนในโครงการที่มีศักยภาพอย่างต่อเนื่อง

สิงห์ เอสเตท เผยรายได้ปี 67 อยู่ที่ 15,095 ล้านบาท เติบโต 3% (YoY) พร้อมโชว์รายได้จากโรงแรมสูงสุดเป็นประวัติการณ์ เตรียมจ่ายเงินปันผล 0.01 บาท/หุ้น

 

ซึ่งจากผลการดำเนินงานในรอบปี 2567 คณะกรรมการบริษัทฯ เห็นชอบให้เสนอต่อที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้น อนุมัติจ่ายเงินปันผลแก่ผู้ถือหุ้น 0.01 บาทต่อหุ้น โดยจะขึ้น XD ในวันที่ 14 มีนาคม 2568

 

นอกจากการมุ่งสร้างผลตอบแทน สิงห์ เอสเตท ยังมุ่งสร้างธุรกิจแบบยั่งยืน โดยในปี 2567 บริษัทฯ สามารถเลื่อนชั้นอันดับเรตติ้งสู่ระดับ AA จากการประเมินผลหุ้นยั่งยืน SET ESG Rating ซึ่งบริษัทฯ ได้รับคัดเลือกให้อยู่ในรายชื่อหุ้นยั่งยืนต่อเนื่องเป็นปีที่ 6 ตอกย้ำแนวทางการดำเนินธุรกิจภายใต้แนวคิดสร้างความหลากหลายที่สมดุลเพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน

สิงห์ เอสเตท เผยรายได้ปี 67 อยู่ที่ 15,095 ล้านบาท เติบโต 3% (YoY) พร้อมโชว์รายได้จากโรงแรมสูงสุดเป็นประวัติการณ์ เตรียมจ่ายเงินปันผล 0.01 บาท/หุ้น

 

“ตลอด 10 ปี ที่ผ่านมา ปัจจัยหนึ่งที่เรายึดถือมาโดยตลอดคือกระบวนการขับเคลื่อนธุรกิจสู่ความยั่งยืน หรือการสร้างความเติบโตอย่างมีความรับผิดชอบต่อส่วนรวมและผู้ที่มีส่วนได้เสียทุกกลุ่ม ซึ่งผลจากการปฏิบัติดังกล่าว ก็ทยอยแสดงผลลัพธ์อย่างต่อเนื่อง ผ่านการได้รับรางวัลและความเชื่อมั่นที่ได้รับเสมอมา

 

ดังนั้นสำหรับการก้าวเข้าสู่ปีที่ 11 เราจะเดินหน้าด้วยความมุ่งมั่นพร้อมรับมือกับทุกความท้าทาย และยังคงดำเนินธุรกิจอย่างรอบคอบ เต็มศักยภาพตามกรอบการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน” คุณฐิติมา กล่าวเสริม

 

>> ช่องทางในการติดตามข่าวสาร <<
ไม่พลาดข่าวสำคัญ แค่กดเป็นเพื่อนกับ ไลน์ @livinginsider ที่นี่

บทความอื่นๆ

livinginsider livinginsider