Knowledge
icon share

ปลายทางที่อาจไม่เหลืออะไร

Salaryman Estator 2020-04-16 10:30:57
ปลายทางที่อาจไม่เหลืออะไร

 

ปลายทางที่อาจไม่เหลืออะไร

 

 

บางครั้งการวิ่งแบบไม่ลืมหูลืมตาก็ทำให้เราลืมว่าไปว่าเป้าหมายในชีวิตจริงๆคืออะไร เราต้องการสิ่งนั้นจริงๆหรือเปล่า

 

 

 

ในโลกของการทำงานบริษัท เราอาจจะไม่ได้เห็นคนที่เอาแต่ทำงานจนไม่ได้พักบ่อยนัก แต่ในโลกของนักลงทุน ยกตัวอย่าง ให้เช่าคอนโด หรือ บ้าน ผมกลับเห็นอยู่มากมายเต็มไปหมด ทุกคนวิ่งไปข้างหน้า เหมือนวิ่ง 4X100 ตลอดเวลา ไม่หยุด ไม่เหนื่อย และไม่พัก เพื่อจะให้ถึงปลายทางที่ตัวเองหวังให้เร็วที่สุด จนหลายๆ ครั้งทำให้ลืมไปว่าเป้าหมายที่แท้จริงคืออะไร หลายๆ คนกำลังตกอยู่ในสถานการณ์นี้โดยไม่รู้ตัว

 

 

นักลงทุนจำนวนไม่น้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกอายุ 25-35 ที่ส่วนใหญ่กำลังเริ่มสร้างตัว หลงไหลในการลงทุน ลงทุนแล้วมีความสุข แต่ยังคงทำงานประจำอยู่เพราะเงินลงทุนอาจจะยังไม่มากพอ ทำให้ต้องทำงานไปด้วยลงทุนไปด้วย ฝันไกลไปถึงอิสระภาพทางการเงินตอนอายุ 40 มีเป้าหมาย มั่นคง ชัดเจน และมุ่งมั่น ยอมเหนื่อยวันนี้ เพื่อสบายในวันหน้า

 

 

ฟังดูแล้วก็ยอดเยี่ยมเลยใช่มั้ยครับ เป็นคนที่มีเป้าหมายปลายทางที่แน่นอน เท่าที่ผมพบมาคนกลุ่มนี้เป็นคนดีมากครับ นอกจากเค้าจะมีเป้าหมายการเป็นอิสระภาพทางการเงินเพื่อตัวเองแล้ว มักจะมีเป้าหมายในการดูแลคนที่รักและครอบครัวเป็นเป้าหมายลึกๆ ที่อาจไม่ได้บอกใครมากนัก นอกจากเพื่อนที่สนิทจริงๆ

 

 

แต่ในความเป็นจริงผมกลับพบว่า คนกลุ่มนี้กลับเป็นคนที่ไม่มีความสุขมากนัก เพราะมุ่งมั่นวิ่งๆ มองแต่ข้างหน้า มองแต่เส้นชัยปลายทาง เมื่อประสบความสำเร็จในเรื่องต่างๆ แทนที่จะใช้เวลายินดีกับความสำเร็จ กลับมองไปข้างหน้าเพื่อหาเป้าหมายต่อไปทันทีที่เป้าหมายเก่าสำเร็จไปแล้ว  พร้อมกับคิดในใจว่า " เราทำได้ เราก้าวหน้า ในอนาคตเราต้องดูแลคนที่เรารักได้ มีความสุข ยอมเหนื่อยวันนี้ เพื่อสบายในวันหน้า"

 

 

แต่ความจริงของโลกมันกลับไม่ได้เป็นอย่างนั้นครับ ด้วยความที่มองไปข้างหน้าตลอดเวลาและร่างกายคนมักมีขีดจำกัด ความตรึงเครียดที่อยู่ในตัวมันซึมซาบไปโดยไม่รู้ตัว กลายเป็นคนเครียดและตึงตลอดเวลา รังสีความตึงแผ่ซ่านไปทั่ว ทุกคนรอบตัวแทนที่จะดีใจกับความสำเร็จของเขา กลับไม่มีความสุขและตึงตามกันไปหมด คู่รักจำนวนไม่น้อยประสบปัญหานี้ (แต่ไม่รู้ตัว) เขาจะได้แต่ถามตัวเองแบบไม่เข้าใจว่า "นี่ผมพยายามขนาดนี้ทำไมไม่มีใครเข้าใจ"

 

 

ใครกำลังตกอยู่ในภาวะแบบนี้ ผมอยากให้คุณพักผ่อนซักพัก ปล่อยตัว ปล่อยใจสบายๆ ซัก 4-5 วัน ใช้เวลากับตัวเอง กับคนที่คุณรัก แล้วค่อยถามตัวเองดูว่า  "นี่คือชีวิตที่เราอยากได้จริงๆ หรอ อะไรคือเป้าหมายอันดับหนึ่งของชีวิต"  จำเป็นจริงๆ หรอ ที่จะต้องสละความสุขวันนี้ เพื่อความสุขในวันหน้า เรามัวแต่โฟกัสสิ่งที่อยู่ไกลตัวจนลืมสิ่งสำคัญที่อยู่ใกล้ตัวไปรึเปล่า

 

 

ความสำเร็จสำคัญครับ เงินก็สำคัญพอๆกับความสำเร็จ แต่ของพวกนี้จะไม่มีค่าอะไรเลยในวันที่คนที่คุณรักไม่มีความสุข ในวันที่คุณไม่เหลือใครให้แชร์ความสำเร็จด้วย ในวันที่คุณไม่สบายแต่เงินที่คุณมี กลับช่วยให้คุณดีขึ้นไม่ได้

 

 

ผมอยากแนะนำทางเลือกในแบบใหม่ ประสบความสำเร็จ โดยการวิ่งไปข้างหน้า แต่คอยชมความสวยงามสองข้างทางตลอด มีความสุขกับครอบครัวและสิ่งที่อยู่รอบตัวไปพร้อมๆกับวิ่งไปข้างหน้า แชร์เรื่องดีๆที่เกิดขึ้นกับคนรักของคุณ  วิ่งมองหน้า มองข้าง มองหลัง ไปพร้อมๆกัน อาจจะถึงช้ากว่าการมองไปข้างหน้าอย่างเดียวหน่อย แต่ความเร็วมันไม่ได้สำคัญที่สุดในสมการนี้ สิ่งสำคัญคือการได้มีความสุขกับคนที่รักหรือครอบครัวของเราต่างหาก

 

 

ถ้าท่านผู้อ่านมีเวลาอยากให้ลองอ่านบทความนี้ดูครับ คลิ๊กที่ลิ้งค์เลยครับ

 

บทความ Dr. Richard Teo

 

เกี่ยวกับ Dr. Richard Teo แพทย์ชื่อดัง เป็นมหาเศรษฐี แถมยังรูปหล่อ ได้ใช้ชีวิตในฝันแบบที่ทุกคนอยากได้ สุดท้ายต้องมาเสียชีวิตตอนอายุแค่ 40 ปี

 

มีคำกล่าวบางส่วนของเค้าว่า ความสุขที่แท้จริงไม่ได้มาจากการให้อะไรกับตัวเอง ผมเคยคิดว่ามันเป็นเช่นนั้น แต่มันกลับไม่เป็นอย่างนั้นเลย

 

 

 

 

ดัดแปลงจากบทความต้นฉบับของ Salaryman Estator

>> ช่องทางในการติดตามข่าวสาร <<
ไม่พลาดข่าวสำคัญ แค่กดเป็นเพื่อนกับ ไลน์ @livinginsider ที่นี่

บทความอื่นๆ

livinginsider livinginsider