กทม.ยันยังไงก็ยุบ รถด่วนบีอาร์ที ย้ำไม่หยิบเรื่องมาทบทวนอีก

ภายหลังการแถลงของคณะผู้บริหารกรุงเทพมหานคร (กทม.) เมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ เรื่อง ยกเลิกโครงการรถโดยสารด่วนพิเศษ หรือ บีอาร์ที ที่ให้เหตุผลว่าต้องแบกรับภาระค่าใช้จ่ายปีละ 200 ล้านบาทและพบว่าไม่ได้เป็นการแก้ไขปัญหาการจราจรที่แท้จริงนั้น

ต่อมาประชาชนได้ให้ความสนใจเรื่องนี้เป็นจำนวนมาก พร้อมวิพากษ์วิจารณ์ถึงข้อดีและข้อเสียที่จะเกิดขึ้นในวงกว้าง จนผู้สื่อข่าวรายงานว่า ล่าสุดเว็บไซต์ Change.org ซึ่งเป็นเว็บไซต์ที่ใช้สำหรับเข้าชื่อรณรงค์ในเรื่องต่างๆ ได้มีการตั้งกระทู้เพื่อให้ประชาชนร่วมลงชื่อ เรื่อง “ปรับขึ้นค่าโดยสารบีอาร์ทีแทนยกเลิกการให้บริการ ก่อนถูกยกเลิก 1 พ.ค. 60” ปัจจุบันมีผู้ร่วมสนับสนุนกว่า 1,000 รายแล้ว โดยผู้ตั้งเรื่องได้ให้เหตุผลว่า หากยกเลิกบีอาร์ที จะทำให้เกิดรถติด เพราะมีผู้ใช้บริการเฉลี่ยวันละ 20,000 คน ขณะที่เส้นทางดังกล่าวแทบจะไม่มีรถโดยสารประจำทางสายอื่น คนที่มีรถก็จะนำรถมาวิ่งเพิ่มบนท้องถนน แต่คนที่ไม่มีรถก็จะประสบปัญหา พวกเขาเห็นว่าค่าบริการที่ถูกเพียง 5 บาท ตลอดสายนั้นเป็นสาเหตุของการขาดทุนจึงเสนอให้ปรับขึ้นค่าโดยสาร โดยคิดในอัตรา 10 บาท (1-3 สถานี) 15 บาท (4-6 สถานี) 20 บาท (7-9 สถานี) 25 บาท (10-12 สถานี) สำหรับบุคคลทั่วไป 10 บาท สำหรับนิสิตนักศึกษาในระดับปริญญาตรีอายุไม่เกิน 25 ปีบริบูรณ์ และผู้ที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป (ทุกสัญชาติ) รวมถึงข้าราชการ ลูกจ้าง และข้าราชการบำนาญของกรุงเทพมหานคร 5 บาท สำหรับเด็กเรียนในเครื่องแบบ ยกเว้นค่าบริการสำหรับผู้พิการและภิกษุุสามเณร
 

พร้อมระบุว่า “การแก้ปัญหารถติดที่ยั่งยืน คือ การสร้างทัศนคติที่ดีต่อการใช้บริการขนส่งมวลชนทุกชนิด ซึ่งในส่วนของผู้ให้บริการขนส่งมวลชนเองต้องปรับปรุงคุณภาพอยู่เสมอ ค่าบริการไม่ใช่เรื่องน่าหนักใจเลย หากมีคุณภาพที่ได้มาตรฐาน เพราะทุกวันนี้การใช้รถส่วนตัวก็มีค่าเสื่อม ค่าบำรุงรักษาไม่น้อย หากมีทางเลือกที่ดี การใช้งานรถยนต์ส่วนตัวก็จะลดลง ปัญหารถติดที่กลายเป็นความเคยชินไปเสียแล้วก็อาจจะหายไป”
 

ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวได้สอบถามเรื่องดังกล่าวไปยัง พล.ต.ท.อำนวย นิ่มมะโน รองผู้ว่าฯกทม. ว่านำเรื่องรถด่วนบีอาร์ทีมาพิจารณาอีกหรือไม่ พล.ต.ท.อำนวย กล่าวเพียงสั้นๆ ว่า เมื่อคณะกรรมการบริหารระบบขนส่งมวลชนกทม.ได้หารือร่วมกันและข้อสรุปว่าจะยกเลิกโครงการก็เห็นควรต้องเลิกโครงการ ไม่น่าจะหยิบเรื่องนี้ขึ้นมาพิจารณาหรือทบทวนอีก

ขอบคุณภาพและข่าวจาก ประชาชาติธุรกิจ

http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1486555844