สมคิด เซ็นปิดดีลมหากาพย์เดินรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน 2.8 หมื่นล้าน เร่งเปิดใช้ก่อนปี’62

"สมคิด" เซ็นปิดดีลมหากาพย์เดินรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน 2.8 หมื่นล้าน เร่งเปิดใช้ก่อนปี’62 คิวต่อไปสีชมพู-เหลืองจ่อเซ็นเม.ย.แสนล้าน

นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจ เปิดเผยว่า ขอบคุณทุกฝ่ายที่ให้ความร่วมมือไม่ว่าจะเป็นกระทรวงคมนาคม, การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) และ บมจ.ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ (BEM) ที่ทำให้เกิดการเดินรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินช่วง หัวลำโพง-บางแค และบางซื่อ-ท่าพระ ระยะทางรวม 27 กม.
 

"รถไฟฟ้าสายนี้การเชื่อมต่อโครงข่ายของคนกรุงเทพฯ และปริมณฑล โดยเฉพาะฝั่งธนบุรี ถือว่าเป็นหัวใจสำคัญในการเดินทางที่ประชาชนจะได้รับประโยชน์มากที่สุด รวมถึงเกิดการพัฒนาเมือง พัฒนาเศรษฐกิจ ของคนในปริมณฑล นายกรัฐมนตรีก็กำชับว่าขอให้ยึดประชาชนเป็นที่ตั้ง ทำให้ดีที่สุด วันนี้ถามคุณปลิว ตรีวิศวเวทย์ ว่าจะลงทุนปีนี้เท่าไหร่ แกตอบว่า 1 หมื่นล้านบาท หลังจากนี้ทางบริษัท จะทำการสั่งซื้อรถไฟฟ้าจำนวน 35 ขบวน ถ้าเป็นไปได้ก็ขอให้เปิดบริการเร็วขึ้นจากกำหนดเดิมปี’62" นายสมคิดกล่าวและว่า
 

รถไฟฟ้าสายอื่นๆ เช่น สายสีชมพู (แคราย-มีนบุรี) และเหลือง (ลาดพร้าว-สำโรง) เงินลงทุนกว่า 1 แสนล้านบาท ได้เจรจากับกลุ่มบีทีเอสเสร็จแล้วจะเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในเดือน เม.ย.นี้ จากนั้นก็จะเริ่มกระบวนการจัดซื้อ จัดจ้าง และก่อสร้าง ซึ่งภายในปีนี้จะมีรถไฟฟ้าสายใหม่อย่างน้อย 3-4 สายผ่าน ครม.และเริ่มกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างต่อไป
 

ขณะเดียวกันจะเห็นการประมุลและลงทุนรถไฟความเร็วสูงเส้นทางกทม.-ระยอง ระยะทาง 193 กม. เงินลงทุนกว่า 1.52 แสนล้านบาท ที่จะทำให้เกิดการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) ให้เกิดขึ้นได้ภายในปีนี้เช่นกัน
 

"สิ่งที่เคยมีคำถามว่าทำได้ไหมทำจริงไหมเราไม่ต้องพูดอะไรมากสิ่งเหล่านี้คือคำตอบ หวังว่าเมื่อทุกฝ่ายมอบความไว้วางใจก็ขอให้เอกชนทำให้ดีที่สุด ยิ่งเปิดบริการได้เร็วยิ่งดี เพราะประชาชนจะได้ประโยชน์" นายสมคิดกล่าว

นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม กล่าวว่า ภารกิจของกระทรวงคมนาคม คือการขับเคลื่อนและผลักดันโครงการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนในกรุงเทพฯและปริมณฑล ตามแผนแม่บทให้เป็นผลสำเร็จ
 

"อย่างที่เคยเรียนมาตลอดว่า แผนมีมา 20 ปี เราทำได้ 1-2 เส้นเท่านั้นเอง ในขณะนี้กำลังเร่งโครงการต่างๆ ออกมา ถึงขั้นตอนกระบวนการแรกในการเสนอ ครม.ให้ความเห็นชอบ อนุมัติทั้งหมด"
 

นายอาคมกล่าวว่าหลังจากนี้จะมีสายสีชมพู (แคราย-มีนบุรี) ระยะทาง 34.5 กม.วงเงิน 53,519.50 ล้านบาท สีเหลือง (ลาดพร้าว-สำโรง) ระยะทาง 30.4 กม. วงเงิน 51,931.15 ล้านบาท สีส้มตะวันออกศูนย์วัฒนธรรม-มีนบุรี ระยะทาง 23 กม. วงเงิน 79,221 ล้านบาทที่จะเริ่มก่อสร้างเร็วๆ นี้
 

ส่วนสายใหม่จะขออนุมัติเพิ่มคือ สีม่วงตอนใต้ (เตาปูน-ราษฎร์บูรณะ) ระยะทาง 23.6 กม. วงเงิน 131,004.30 ล้านบาท สีส้มตะวันตก (ศูนย์วัฒนธรรม-บางขุนนนท์) วงเงิน 90,271 ล้านบาท สีน้ำเงินส่วนต่อขยาย บางแค-พุทธมณฑลสาย 4 ระยะทาง 8 กม. 21,197 ล้านบาท และสายสีแดง Missing Link  ทำให้โครงข่ายหลักของรถไฟฟ้าขนส่ง กทม. สมบูรณ์ตามแผนแม่บทระยะที่ 1  
 

นอกจากนี้กระทรวงคมนาคมยังได้ศึกษาแผนแม่บทในระยะที่ 2 เพื่อให้ประชาชนที่อาศัยปริมณฑลสามารถใช้โครงข่ายรถไฟฟ้าได้ ไม่มีจุดบอดในการเดินทาง และเปลี่ยนมิติการเดินทางของคนกรุงเทพฯ นักท่องเที่ยว และคนทำงานในอนาคต
 

"ขอบคุณบีอีเอ็มที่ให้ความร่วมมือจนงานชิ้นนี้สำเร็จ โดยเฉพาะคณะกรรมการมาตรา 35 ตามพระราชบัญญัติร่วมลงทุนปี 2556 และคณะกรรมการมาตรา 43 ตามพระราชบัญญัติร่วมลงทุนปี 2535  ที่สามารถเจรจาให้ได้ข้อสรุปได้เรียนบีอีเอ็ม ขอให้เร่งการเปิดเดินรถช่วงหัวลำโพง-ท่าพระให้ได้ก่อนกำหนดปลายปี′62" นายอาคมกล่าว
 

ทั้งนี้ผลการเจรจาเอกชน โครงสร้างค่าโดยสารจะปรับทุก 2 ปี ตามดัชนีผู้บริโภค (ซีพีไอ) โดยเก็บค่าโดยสารอยู่ที่ 16-42 บาท และเก็บค่าแรกเข้าเพียงครั้งเดียว สำหรับรายจ่ายของเอกชน ได้แก่ ค่าลงทุนระบบ 20,826 ล้านบาท ค่าบำรุงรักษาตลอดอายุสัญญา 30 ปี วงเงิน 207,062 ล้านบาท
 

ส่วนผลตอบแทนของสายสีน้ำเงินช่วงหัวลำโพง-บางซื่อ (สายเดิม) หากเป็นปัจจุบันอยู่ที่ 28,577 ล้านบาท และ 52,946 ล้านบาท ในอนาคต ส่วนสีน้ำเงินต่อขยายใหม่ หาก IRR อยู่ที่ 9.75-11% ส่วนแบ่งรายได้ระหว่าง รฟม.กับ BEM อยู่ที่ 50:50 ตั้งแต่ 11-15% อยู่ที่ 60:40 และเกิน 15 % อยู่ที่ 75:25
 

นายปลิว ตรีวิศวเวทย์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือบีอีเอ็ม กล่าวว่า โครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินเมื่อสร้างเสร็จแล้วจะมีโครงข่ายเป็นวงกลม จะเชื่อมการเดินทางพื้นที่กรุงเทพฯและธนบุรี ทำให้ประชาชนสามารถเกิดความสะดวกสบาย และค่าโดยสารที่ถูกมากในการเดินทาง
 

"ถึงแม้ว่าบริษัทจะมีความเสี่ยงในการลงทุนและผลตอบแทนที่น้อย แต่ก็ขอขอบคุณรัฐที่ให้โอกาส อยากเห็นประชาชนได้ประโยชน์ที่สุดก็จะทำให้เร็ว มีคุณภาพ และประสิทธิภาพในการให้บริการ"

ขอบคุณภาพและข่าวจาก ประชาชาติธุรกิจ

http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1490939461