News
icon share

ส่องทิศ ดีน แอนด์ เดลูก้า บิ๊กดีล 4.5 พันล้าน…จะไปต่ออย่างไร

LivingInsider Report 2017-11-14 12:32:03
ส่องทิศ ดีน แอนด์ เดลูก้า บิ๊กดีล 4.5 พันล้าน…จะไปต่ออย่างไร

ส่องทิศ “ดีน แอนด์ เดลูก้า” บิ๊กดีล 4.5 พันล้าน…จะไปต่ออย่างไร

 

4.5 พันบาท เม็ดเงินก้อนโตที่สร้างความฮือฮาและเรียกเสียงว้าววววว ในตลาดได้ไม่น้อย สำหรับ “เพซ ดีเวลลอปเมนท์ฯ” ที่ก้าวเข้ามาในธุรกิจ “รีเทล” ด้วยการเข้าซื้อกิจการแบรนด์ร้านอาหารและเครื่องดื่มแบรนด์ “ดีน แอนด์ เดลูก้า” ร้านบิสโทรชื่อดังสไตล์นิวยอร์ก จากบริษัท ดีน แอนด์ เดลูก้า โฮลดิ้งส์ อิงค์

 

โดยเม็ดเงินลงทุนกว่า 140 ล้านเหรียญสหรัฐ มาจากเงินทุนหมุนเวียนภายในของ “เพซ ดีเวลลอปเมนท์ฯ” รวมถึงเป็นเงินกู้จากธนาคารไทยพาณิชย์

 

เมื่อ 7 ปีก่อน “เพซ ดีเวลลอปเมนท์ฯ”ซื้อสิทธิ์แฟรนไชส์ “ดีน แอนด์ เดลูก้า” และเริ่มสร้างแบรนด์ให้เป็นที่รับรู้ในวงกว้างด้วยการมาเปิดสาขากระจายตัวตามย่านธุรกิจ ทั้งในศูนย์การค้า อาคารสำนักงาน อย่างมหานครคิวบ์ (ช่องนนทรี), เซ็นทรัล เอ็มบาสซี, ปาร์คเวนเจอร์ อีโคเพล็กซ์, สาทรสแควร์ ฯลฯ

 

หลังจากนั้น ในช่วงปลายปี 2557 “เพซ ดีเวลลอปเมนท์ฯ” ได้ตัดสินใจรวบรวมเงินทุนหมุนเวียนของบริษัทกับเงินกู้จากธนาคารไทยพาณิชย์รวมกันกว่า 4,500 ล้านบาท ทุ่มซื้อแบรนด์ดีน แอนด์ เดลูก้า และเปลี่ยนบทบาทจากผู้ซื้อสิทธิ์ใช้แบรนด์หรือแฟรนไชซีกลายมาเป็นเจ้าของแบรนด์เอง

 

ถือเป็นก้าวสำคัญของการขยายธุรกิจจากบริษัทผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ไทยสู่ธุรกิจร้านอาหาร-เครื่องดื่มเต็มตัวในวันนั้น หัวเรือใหญ่ค่ายอสังหาฯแบรนด์หรู “สรพจน์ เตชะไกรศรี” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เพซ ดีเวลลอปเมนท์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เล่าถึงการตัดสินใจเซ็นสัญญา ซื้อกิจการทั้งหมดของ “ดีน แอนด์ เดลูก้า”

 

แบรนด์ร้านอาหารและเครื่องดื่มกูร์เมต์ชั้นนำของโลกกว่า 40 ปี ว่า ต้องการเติมบทบาทให้ “เพซ ดีเวลลอปเมนท์ฯ” เป็นผู้นำธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์แบบผสมผสาน หรือ mixed-use ในระดับไฮเอนด์ และธุรกิจของ ดีน แอนด์ เดลูก้า จะเข้ามาเติมเต็มตรงนี้ “การซื้อแบรนด์ดีน แอนด์ เดลูก้า มาเป็นของตัวเองจะเป็นผลดีต่อเพซ ดีเวลลอปเมนท์ฯ ในแง่ของการขยายสู่ธุรกิจอาหารเครื่องดื่มในระดับพรีเมี่ยม เติมเต็มให้กับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ของเพซฯที่เจาะกลุ่มไฮเอนด์ ซึ่งเป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจน้อยกว่าลูกค้ากลุ่มอื่น ๆ”

 

สอดคล้องกับรูปแบบการขยายธุรกิจ เพซฯจะลงทุนเองในตลาดเมืองไทยและสหรัฐอเมริกา ขณะที่ในประเทศอื่น ๆ จะไปด้วยการให้สิทธิ์แฟรนไชส์ เน้นประเทศที่มีกำลังซื้อสูง จึงไม่แปลกที่ความเคลื่อนไหวครั้งล่าสุด จะมีกระแสข่าวออกมาเป็นระยะ ๆ

 

ถึงกลุ่มทุน “เซ็นทรัล” ยักษ์ค้าปลีกรีเทลที่สนใจจะเข้าซื้อสิทธิ์แฟรนไชส์ดีน แอนด์ เดลูก้า สำหรับเปิดตลาดในต่างประเทศ ซึ่งกลุ่มเซ็นทรัลมีฐานกำลังที่แข็งแกร่งในศูนย์การค้าในต่างประเทศหลายแห่ง โดยเฉพาะในตลาดยุโรป อาทิ อิตาลี เยอรมนี และโคเปนเฮเกน ที่เข้าไปซื้อกิจการแบรนด์ศูนย์การค้าหรูเหล่านี้ รวมถึงการขยายตัวของธุรกิจโรงแรมของกลุ่มเซ็นทรัลที่กำลังสยายปีกปักธงไปทั่วทุกมุมโลก

 

ซึ่ง “เพซ ดีเวลลอปเมนท์ฯ” ตั้งเป้ารายได้จะมาจากเปอร์เซ็นต์ยอดขายของแฟรนไชส์ “ดีน แอนด์ เดลูก้า”จะกลายเป็นอีกรายได้หลักสำคัญของบริษัทต่อจากนี้

 

“ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์โอเวอร์ซัพพลายได้ แต่ร้านอาหารไม่เป็นอย่างนั้น และยังรับรู้รายได้ไวกว่า มีรายได้เกิดขึ้นต่อเนื่องการซื้อดีน แอนด์ เดลูก้า มาเป็นของตัวเองจึงจะดีกว่าในระยะยาวเพราะเปิดได้ทั่วโลก และเห็นเทรนด์ที่ร้านกาแฟในแต่ละปีที่โตมาก เป็นสินค้าที่ทุกคนบริโภคได้และกำไรค่อนข้างดี”

ในวันนั้น คีย์แมน “เพซ ดีเวลลอปเมนท์ฯ” วางเป้าหมายเปิด “ดีน แอนด์ เดลูก้า” ครอบคลุม 300 สาขาในปี 2562

 

พร้อมมีแนวคิดที่นำร้าน ดีน แอนด์ เดลูก้า เข้าตลาดหลักทรัพย์ที่สหรัฐอเมริกาในสเต็ปต่อไป เพราะเป็นตลาดที่มีดีมานด์สูงกับกลุ่มธุรกิจร้านอาหารพรีเมี่ยมค่อนข้างสูง

 

ปัจจุบัน “ดีน แอนด์ เดลูก้า” เปิดให้บริการในสหรัฐ 12 สาขา และตลาดนอกสหรัฐ 53 สาขา แบ่งเป็นในญี่ปุ่นที่เป็นตลาดใหญ่ 31 สาขา, คูเวต 1, สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ 1, ฟิลิปปินส์ 2, สิงคโปร์ 3, เกาหลีใต้ 2,ไทย 12, มาเก๊า 1 ซึ่งในอังกฤษ และบาห์เรนกำลังจะเปิดภายในเดือนพฤศจิกายนนี้

 

ดีน แอนด์ เดลูก้า เป็นร้านอาหารและกาแฟจากนิวยอร์ก ที่มีหลากหลายโมเดลทั้งโมเดลกูร์เมต์มาร์เก็ต เน้นพื้นที่ให้บริการอาหารและเครื่องดื่ม

 

เต็มรูปแบบ, ร้านไฮบริด มีพื้นที่บริการอาหารเครื่องดื่มและพื้นที่วางจำหน่ายสินค้าเท่ากัน และร้านรูปแบบคาเฟ่ เน้นอาหารและเครื่องดื่มไม่ซับซ้อนและให้บริการได้รวดเร็ว

 

ซึ่งคาเฟ่จะเป็นโมเดลหลักในการขยาย ด้วยความสะดวกในการหาพื้นที่ สามารถเปิดได้เร็ว และคืนทุนได้เร็ว

 

และเมื่อมรสุมรุมล้อม “เพซ ดีเวลลอปเมนท์ฯ” ทิศทางของร้านอาหารกึ่งคาเฟ่สุดชิกสไตล์นิวยอร์ก จะเดินต่อไปในทิศทางใด

 

ต่อลมหายใจ “เพซ-SCB”

 

เซอร์ไพรส์ส่งท้ายปีระกาของวงการอสังหาริมทรัพย์ไม่น้อย เมื่อ “แสนสิริ” แจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์ฯได้ลงนามในบันทึกความเข้าใจ (MOU) กับกลุ่ม บมจ.เพซ ดีเวลลอปเมนท์ คอร์ปอเรชั่น และ บจ.เพซ โปรเจคทู บริษัทย่อย ผู้พัฒนาโครงการมหานคร มีเอ็มดีคนรุ่นใหม่ไฟแรง “ยิ่ง-สรพจน์ เตชะไกรศรี” เป็นผู้กุมบังเหียน

 

หลัง “แสนสิริ” เจรจาซื้อทั้งโครงการนิมิต หลังสวน และห้องชุดที่พักอาศัย 53 ห้องในโครงการเดอะริทซ์-คาร์ลตัล เรสซิเดนเซส บางกอก ในโครงการอาคารชุดมหานคร จาก SCB แบงก์เจ้าหนี้

 

โดยจะโอนที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างอยู่ระหว่างก่อสร้างตามโครงการ ที่เกี่ยวข้องทั้งหมดให้แก่บริษัท

 

ส่วนการซื้อขายห้องชุดที่พักอาศัยในโครงการ “เดอะริทซ์-คาร์ลตัน เรสซิเดนเซส บางกอก” เป็นการซื้อขายห้องชุด เมื่อการก่อสร้างทั้งหมดในโครงการอาคารชุดมหานครแล้วเสร็จ

 

“วันจักร์ บุรณศิริ” ประธานผู้บริหารฝ่ายปฏิบัติการ บมจ.แสนสิริ กล่าวว่า เป็นเพียงการ MOU จนกว่าตรวจสอบทรัพย์สินที่ซื้อขาย (due diligence) จะเสร็จสิ้นภายในต้นปี 2561

 

“ที่เราสนใจโครงการของเพซ เพราะเป็นโครงการที่ดี อยู่ในทำเลมีศักยภาพ พัฒนาต่อยอดกับแสนสิริได้ ในอนาคตอาจจะมีพันธมิตรเพิ่มก็ได้ เช่น บีทีเอส”

 

โครงการนิมิต หลังสวน เปิดตัวเมื่อปลายเดือน ก.พ. 2558 บนเนื้อที่ 3 ไร่ เป็นโครงการที่พักอาศัยระดับซูเปอร์ลักเซอรี่ สูง 53 ชั้น 187 ยูนิต พื้นที่ใช้สอย 78-617 ตร.ม. ขนาด 2-4 ห้องนอน มูลค่าโครงการกว่า 7,500 ล้านบาท จะแล้วเสร็จในปี 2561

 

“โครงการมหานคร” เป็นแลนด์มาร์กใหม่ของกรุงเทพฯ และสูงที่สุดในประเทศไทย บนเนื้อที่ 9 ไร่ กว่า 135,000 ตร.ม. มีทั้งที่อยู่อาศัย พื้นที่รีเทล บูติคโฮเต็ล บาร์และร้านอาหาร มูลค่าโครงการ 21,000 ล้านบาท

 

 

ขอบคุณภาพและข่าวจาก ประชาชาติธุรกิจ

 

https://www.prachachat.net/property/news-70476

 


 

>> ช่องทางในการติดตามข่าวสาร <<
ไม่พลาดข่าวสำคัญ แค่กดเป็นเพื่อนกับ ไลน์ @livinginsider ที่นี่

บทความอื่นๆ

livinginsider livinginsider