รายการโปรด
ชาวกรุงเทพฯ น่าจะรู้จักกันดีว่าย่าน “พร้อมพงษ์” เป็นย่านที่เต็มไปด้วยผู้คนหลายเชื้อชาติและไลฟ์สไตล์ที่จัดจ้านโดดเด่นจากย่านอื่น ด้วยการเป็นย่านที่ห้อมล้อมด้วยศูนย์การค้าสำคัญๆ ทั้งที่กิน ดื่ม ช้อปปิ้ง ท่องเที่ยว และพักผ่อนหย่อนใจทุกรูปแบบ รวมถึงการเป็นย่านที่เชื่อมต่อกับรถไฟฟ้าแบบใกล้ชิดและมีผู้คนมากมายสัญจรผ่านตลอดทั้งวัน พร้อมพงษ์จึงเป็นหนึ่งในย่านที่มีผู้คนพลุกพล่านและ “แพง” ที่สุดย่านหนึ่งในกรุงเทพมหานครเลยก็ว่าได้
ในขณะที่ซอยสุขุมวิท 24 ซึ่งติดกับศูนย์การค้า Emporium เป็นหนึ่งซอยราคาแพงที่มีคอนโดมิเนียมและโรงแรมหรูขึ้นสูงกันเบียดเสียด อีกฟากฝั่งถนน ตรงกันข้ามกันคือ The Emquartirer และซอยสุขุมวิท 39 ที่ก็เห็นชัดว่าเป็นอีกซอยที่เต็มไปด้วยที่อยู่อาศัยชั้นดีไม่ต่างกัน
และพอขึ้นชื่อว่าอยู่ในย่านที่ “ฮิป” ที่สุดย่านหนึ่งในกรุงเทพฯ โครงการล่าสุดของ Noble ในชื่อ Noble State 39 ที่เราจะพามาชมพร้อมๆ กับที่โครงการกำลังจะเปิด pre-sale ในครั้งนี้ ก็พูดได้เต็มปากว่าได้หยิบเอาความ “ฮิป” ของย่านมาใส่ในโครงการได้โดยไม่ทิ้งความหรูหราและคุณภาพคอนโดฯ ชั้นดีในแบบฉบับของ Noble
Noble State 39 ใช้ชื่อคอนเซ็ปต์ว่า “Life Pattern Reconstructed” หรือ “รื้อแพทเทิร์นชีวิตเดิมๆ” ที่ชูแรงบันดาลใจจากสถาปัตยกรรมสไตล์ “Brutalist Architecture” จากอดีตในช่วงราวคริสต์ทศวรรษที่ 1950 ที่มีความโดดเด่นตรงที่มีรูปทรงหวือหวา ขนาดใหญ่โต เน้นสัจจะวัสดุและคอนกรีตเปลือย รวมถึงใช้แพทเทิร์นซ้ำๆ ต่อเนื่องเป็นองค์ประกอบ Brutalist Architecture นั้นเป็นสไตล์ที่มีเอกลักษณ์ไม่เหมือนใครมากๆ จนเป็นที่จดจำจนถึงปัจจุบัน
เราไม่แปลกใจที่ Noble หยิบเอาเรื่องงานออกแบบ สถาปัตยกรรม และไลฟ์สไตล์มาเป็นจุดขายสำหรับคอนโดมิเนียมใหม่ที่ใกล้ศูนย์การค้าที่เป็นแหล่งรวมแฟชั่นและไลฟ์สไตล์อย่าง The Emquartier แต่ที่น่าสนใจคือการเอาสไตล์สถาปัตยกรรมเก่าแก่ที่ดูทะมัดทะแมงอย่าง “Brutalist Architecture” มาเล่าใหม่อีกครั้งในอาคารที่ทันสมัยอย่างคอนโดมิเนียม
Noble เคยชูประเด็นเรื่องสถาปัตยกรรมในประวัติศาสตร์มาแล้วใน Noble Around Ari สำหรับย่านที่เป็นที่เที่ยวกิน-ดื่มและเน้นไลฟ์สไตล์จัดอย่างย่านอารีย์ โดยที่นี่ Noble ดึงเอาสถาปัตยกรรมสไตล์ “Modernist Architecture” หรือสไตล์ที่มีความ “Minimal” มาเล่าเรื่องผ่านการออกแบบตัวตึกให้เรียบง่ายแต่หรูหรา ชนิดที่เรียกว่า “น้อยแต่มาก”
เมื่อเทียบกับ Noble State 39 คอนโดฯนี้จึงมีความหวือหวากว่ามาก ทั้งการออกแบบเปลือกอาคาร อินทีเรียร์ดีไซน์ที่พาย้อนบรรยากาศไปในยุคสื่อบันเทิงเฟื่องฟูอย่างยุค 70 – 80 แต่ที่เห็นได้ชัดว่าทั้งสองโครงการมีคล้ายกัน คือการเน้นกลุ่มผู้อยู่ไปที่กลุ่มคนรุ่นใหม่ มีไลฟ์สไตล์ทันสมัย เป็นดีไซเนอร์ หรือสนใจแฟชั่นและงานออกแบบแบบลงลึกกว่าคนทั่วไป เหมือนย่านทั้งสองที่เต็มไปด้วยที่กิน เที่ยว และไลฟ์สไตล์จัดจ้านคล้ายคลึงกัน
ก่อนอื่นคงจะต้องพูดถึงทำเลที่ตั้งที่มีความสำคัญต่อการวางทิศทางโครงการอย่างมากดังที่กล่าวไปตั้งแต่ต้น Noble State 39 ตั้งอยู่ในซอยสุขุมวิท 39 ลึกเข้ามาจากปากซอยถนนสุขุมวิทราว 450 เมตร ซึ่งถือว่าใกล้มาก ตัวตึกจริงๆ ตั้งอยู่ในที่ดินที่คว้านลึกเข้าไปจากซอย 39 อีกที
สำหรับการอยู่อาศัย Noble State 39 จึงมีความเป็นส่วนตัวมาก ตัวตึกไม่ชิดตัดกับถนนที่พลุกพล่าน และที่ดินโดยรอบโครงการในปัจจุบัน ก็ล้อมรอบด้วยบ้านพักอาศัยส่วนตัวและตึกแถวเตี้ยๆ ไม่มีด้านไหนที่หันหน้าชิดติดกับโครงการตึกสูงด้วยกัน
เรื่องการเข้าถึง ในขณะที่ซอย 24 ซึ่งอยู่ฝั่งตรงกันข้ามได้เปรียบตรงที่เป็นซอยที่คนใช้ทะลุออกไปยังถนนพระราม 4 ได้ ซอย 39 ก็คึกคักไม่แพ้กันด้วยการใช้ทะลุออกไปถนนเพชรบุรี ผ่านซอยเพชรบุรี 38/1 ด้วยระยะทางแค่ 1.5 กิโลเมตร ซึ่งเป็นข้อดีที่แตกต่างจากซอยสุขุมวิทในแถบเลขคี่ด้วยกันนี้ แถมยังใช้เชื่อมออกไปทองหล่อซอย 13 ได้ด้วย
Noble State 39 จึงเหมือนตั้งอยู่กึ่งกลางของทางผ่านไปยังถนนเส้นสำคัญของกรุงเทพฯ อีกที ความสะดวกสบายของการเดินทางจึงไม่ต้องพูดถึง แต่ก็เพราะด้วยเหตุนี้ รถราในซอยก็คงจะแน่นขนัดตามไปด้วยในแต่ละช่วงเวลา rush hour ซึ่งก็สามารถเดินไปขึ้นรถไฟฟ้า BTS สถานีพร้อมพงษ์ที่ตั้งอยู่หน้าปากซอยพอดิบพอดีได้ด้วยระยะไม่ถึง 500 เมตรเท่านั้นเอง
พอขึ้นชื่อว่าสุขุมวิท – ทองหล่อ – เอกมัย สิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ รอบๆ จึงไม่ใช่เรื่องน่ากังวลอีกต่อไป นอกจากศูนย์การค้าหลักอย่าง Emporium, The Emquartier ในซอยและตลอดทั่วทั้งย่านก็เต็มไปด้วยร้านค้า ร้านกิน – ดื่ม ที่เป็นจุดหมายของคนทั้งกรุงเทพฯ อยู่แล้ว นอกจากนั้นยังเชื่อมต่อในซอยเดียวกับโรงพยาบาลสมิติเวช มีสวนสาธารณะอุทยานเบญจสิริอยู่ฝั่งตรงกันข้าม ความสะดวกสบายทั้งหมดถูกรวมไว้ในย่านที่รู้กันอยู่ว่าครบครันและคึกคักที่สุดในกรุงเทพฯ
Noble State 39 เป็นโครงการ High Rise 36 ชั้น อาคารเดียว รวมจำนวนยูนิต 352 ยูนิต ซึ่งก็ถือว่าหนาแน่นในระดับกลางๆ ใกล้เคียงกับโครงการในละแวกใกล้เคียง โครงการมีที่จอดรถให้บนชั้น G ชั้น 2 – 8 และชั้นใต้ดิน 2 ชั้น รวมแล้วราว 54% ซึ่งน่าจะเป็นการเน้นให้ลูกบ้านใช้รถไฟฟ้าที่มีอยู่ใกล้ๆ สำหรับไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ที่บางคนอาจไม่นิยมซื้อรถยนต์แล้ว
นอกจากนั้นหลักๆ ก็จะมีห้องออกกำลังกายพร้อมห้องสตีมแยกชาย – หญิง รวมถึงสระว่ายน้ำในร่มที่มีช่องแสงเป็นกระจกกั้น ให้ความรู้สึกที่เหมือน Semi-Outdoor อยู่บนชั้นที่ 35 ยกเอาพื้นที่ที่ลูกบ้านจะใช้ร่วมกันไปไว้รับวิวมุมสูงของเมือง ส่วนบนชั้นบนสุดโครงการได้มอบพื้นที่ให้เป็นร้านอาหาร Fine Dining ในชื่อ Chef Table & Farm เน้นให้เป็นพื้นที่สีเขียว เพื่อเป็นที่พักผ่อนและเป็นร้านอาหารชั้นดีตอบรับกับย่านหรู
แต่ที่น่าสนใจจริงๆ คือ แนวคิด Smart Living Design ที่ Noble State 39 นำเทคโนโลยีและอุปกรณ์อัจฉริยะต่างๆ มาใช้อย่างจริงจัง ตั้งแต่ทางเข้าโครงการจนถึงหน้าห้องพัก เช่นระบบ “ME PASS” คือการนำเอาระบบ Keyless-Cardless มาใช้ โดยลูกบ้านไม่จำเป็นต้องพกคีย์การ์ด แต่ใช้ระบบจดจำใบหน้าหรือการแสกนลายนิ้วมือแทน รวมถึงการใช้นวัตกรรมที่สามารถ recognize ทะเบียนรถโดยอัตโนมัติ แทนการใช้การ์ดในการเข้าออกอีกด้วย
ตั้งแต่หน้าห้องพักอาศัยยังมี Digital Door lock ที่สามารถใช้งานได้ 4 ฟังก์ชัน สแกนนิ้ว พาสเวริด์ การ์ด และกุญแจ หรือ "SMART HOME DESIGN" ภายในห้องที่โครงการจัดผู้ช่วยอย่าง Google Home Mini ที่สามารถสั่งงานด้วยเสียง ควบคุมหลอดไฟ แอร์ ม่าน หรืออุปกรณ์ไฟฟ้าอื่นๆ และรองรับไลฟ์สไตล์ด้วยการที่คุณสามารถ
ออกแบบคำสั่งเสียงได้ เช่น "I'm home" ที่เครื่องใช้ภายในบ้านจะปรับเปลี่ยนเพื่อต้อนรับคุณกลับบ้าน หรือ "Party time" เปลี่ยนบรรยากาศภายในห้องทั้งเสียงเพลง แสงไฟ ให้เป็นจังหวะปาร์ตี้ในแบบคุณ รวมถึงการวางระบบ infrastructure รองรับในอนาคตเผื่อมีเทคโนโลยีที่ทันสมัยเค้ามาแทน
นอกจากนี้ยังมีแอพลิเคชัน “NOBLE SMART APLICATION” ในโทรศัพท์มือถือ ที่ช่วยจัดการทุกๆ อย่างตั้งแต่เรื่องการจ่ายเงิน หรือใช้ควบคุมอุปกรณ์ Smart Home ในห้องจากข้างนอก นอกจากนั้นโครงการยังมี "SMART PASSAGE" ระบบ Car Sharing แชร์รถให้ลูกบ้านใช้ในเวลาสั้นๆ รวมไปถึงการเผื่อ “EV CHARGER” สำหรับการมาของรถยนต์ไฟฟ้าในอนาคตด้วย
Unit Walkthrough ยูนิต 352 ยูนิต แบ่งออกเป็น
- 1 ห้องนอน-S : 29.95 ตร.ม.
- 1 ห้องนอน-M : 34.80 ตร.ม.
- 1 ห้องนอน-L : 41.50 - 42.90 ตร.ม.
- 2 ห้องนอน : 58.40 - 59.80 ตร.ม.
- เพนท์เฮาส์ : 73.40 - 105.90 ตร.ม.
ในที่นี้จะยกตัวอย่างห้องแบบ 1 ห้องนอน-S และ 1 ห้องนอน-L ให้เห็นภาพสิ่งอำนวยความสะดวกภายในห้อง
1 ห้องนอน-S (29.95 ตร.ม.)
พูดได้ว่าความโดดเด่นของผังพื้นคือความลงตัว ออกแบบมาโดยไม่มีพื้นที่เศษเหลือ ไม่มีซอก ส่วนครัวส่วนนั่งเล่น ห้องนอนแยกเป็นสัดส่วน และมีสเกลที่ไม่อึดอัด จัดเฟอร์นิเจอร์ง่าย ไม่เหมือนห้องหน้าแคบตามโครงการอื่นๆ และมีระเบียงยาวเชื่อมห้องนั่งเล่นและห้องนอน ที่ให้การใช้งานและอารมณ์เหมือนเพนท์เฮ้าส์ใหญ่ๆ เลยทีเดียว
โดยมีคอนเซ็ปต์การออกแบบห้องพักอาศัยคือ Flow Design ที่มี Flow and Fluid เชื่อมต่อเข้า-ออกได้ทุกห้อง และ Sliding Door แบ่งกั้นพื้นที่ห้องนอน ซึ่งสามารถปรับเปลี่ยนรูปแบบการใช้ชีวิตภายในห้องได้ตามต้องการโดยไม่จำเป็นต้องปิดหมดทั้งห้อง อีกทั้งยังจัดเต็มด้วยความสูงฝ้าเพดานมาให้ถึง 3 เมตร พร้อมประตูบานสไลด์ที่ระเบียงสูงถึง 3.2 เมตรทุกยูนิต นอกจากนี้ทางโครงการยังให้แบบ Fully Fitted ชุดเครื่องครัวและตู้เสื้อผ้า
จากทางเข้า จะพบชุดครัวอยู่ขวามือ ประกอบด้วยฮูดดูดควัน และตู้เย็นที่เนียนไปกับบิวท์อินครัว และ 1 ซิงค์ล้างจาน ทั้งหมดจาก TEKA โครงการยังบิวท์อินไมโครเวฟและเตาไฟฟ้าของ KUPPERSBUSCH มาให้ด้วย ถือว่ามีขนาดกะทัดรัดสำหรับทำอาหารง่ายๆ
ยืนในจุดนี้จะมีประตูบานเปิดเข้าสู่ห้องน้ำอยู่ซ้ายมือพอดี ซึ่งเรียกว่าได้แยกการเดินเข้าสู่ห้องน้ำ ออกมาจากส่วนนั่งเล่นได้ลงตัวไม่เกะกะ ในส่วนของห้องน้ำ มีแยกส่วนแห้งส่วนเปียกชัดเจน โดยสุขภัณฑ์ทั้งหมดใช้เกรดคุณภาพสูงจาก TOTO ซึ่งรู้กันดีว่าเป็นแบรนด์สุขภัณฑ์ระดับท็อปที่เน้นดีไซน์ไม่แพ้คุณภาพ
จากทางเข้า มองตรงไปก็จะพบประตูกระจกเป็นผนังทั้งผนังออกไปสู่ระเบียง ห้องทั้งห้องจึงได้แสงธรรมชาติอย่างเต็มที่ ทำให้ไม่อึดอัด และยังออกแบบให้เพดานตรงนี้มีช่องซ่อนราวม่าน เพื่อเพิ่มพื้นที่หน้าต่างตรงระเบียง
รวมถึง ห้องทุกห้องจะใช้เครื่องปรับอากาศแบบแอร์ซ่อนในฝ้า ไม่เกะกะ ไม่เก็บฝุ่นสายตา พื้นที่นั่งเล่นจึงโล่งสบาย ซึ่งความโล่งสบายนี่ถือเป็นไฮไลท์ของยูนิตแต่ละยูนิตเลยก็ว่าได้ เพราะการเข้าออกระหว่างห้องนั่งเล่นกับห้องนอนนั้น โครงการออกแบบให้เป็นประตูบานเลื่อนซ่อนหลังผนังติดทีวีถึงสองบาน (ของโครงการจะเป็นประตูบานสไลด์กระจกเฟลมอลูมิเนียม) ประโยชน์ที่จะได้คือห้องทั้งสองห้องจะเชื่อมต่อเข้าหากัน สามารถปรับเปลี่ยนรูปแบบได้ และเอื้อให้ใช้งานได้เอนกประสงค์ด้วยในอนาคต
ห้องนอนนั้นกว้างพอสำหรับเตียงคิงไซส์ ทางเดินรอบเตียง และตู้เสื้อผ้าบิวท์อินติดผนัง โดยหน้าบานเป็นอะคริลิคลอน - เฟลมอลูมิเนียม รวมถึงยังออกแบบให้มีทางเดินเข้าห้องน้ำส่วนตัวภายในห้องนอน ทุกอย่างจึงออกมาเป็นสัดส่วนและลงตัวอย่างมาก และอย่างที่บอกตอนต้นว่า ยูนิตถูกออกแบบให้มีระเบียงยาวเชื่อมโดยตลอด จึงไม่ต้องกังวลเรื่องความอึดอัดเลยสำหรับภายในห้องนอนเอง
1 ห้องนอน-L (41.50 ตร.ม.)
ผังโดยรวมของห้องขนาดเกือบ 42 ตารางเมตรนี้ มีแนวคิดคล้ายกับห้องยูนิตเล็ก คือยูนิตมีความเป็นจัตุรัส หน้าไม่แคบ มีระเบียงเชื่อมตลอดส่วนนั่งเล่นและห้องนอน สำหรับยูนิตนี้ จะเหมือนขยายห้องทุกห้องให้ใหญ่ขึ้น โดยเฉพาะส่วนนั่งเล่นที่กว้างรวมกว่า 20 ตารางเมตร สามารถวางโต๊ะกินข้าว และชุดโซฟาตัวใหญ่ได้สบายๆ
เข้ามาจากข้างหน้าก็คล้ายกัน คือจะพบกับโถงโล่งกว้างตรงหน้า มีชุดครัวอยู่ขวามือ สังเกตว่าชุดครัวจะมีขนาดคงเดิม เพราะโครงการเน้นผู้อยู่ที่อาจนิยมใช้ชีวิตข้างนอกและเดินทางอยู่ตลอดเวลา ที่ปลายห้องก็เป็นประตูกระจกบานใหญ่ทั้งผนังรับแสงดังเช่นห้องยูนิตเล็ก
ในโถงนั่งเล่นนี้ กั้นระหว่างห้องนอนและทางไปสู่ห้องน้ำด้วยบานเลื่อน 3 บาน ห้องน้ำถูกย้ายเก็บเข้าไปหลังบานเลื่อน เพื่อให้ส่วนนั่งเล่นมีพื้นที่เต็มที่ แต่ยังอยู่ในโซนใกล้ครัวเพื่อความไม่เกะกะของการเดินผ่านส่วนนั่งเล่น
เมื่อผ่านบานเลื่อนทั้ง 3 เข้ามาแล้ว โถงห้องนอน กับทางเข้าห้องน้ำ จะถูกคั่นด้วยส่วนแต่งตัวย่อมๆ คล้ายเป็น walk-in closet ซึ่งช่วยกั้นระหว่างห้องน้ำกับห้องนอนได้เป็นสัดส่วนดีทีเดียว และเช่นเคย ห้องนอนนั้นโอ่โถงด้วยการเชื่อมกับส่วนนั่งเล่นได้ รวมถึงมีระเบียงรับแสงและอากาศได้ดี
ในยูนิตนี้ ห้องน้ำจะใหญ่ขึ้นเล็กน้อย ส่วนเปียกมีพื้นที่ใช้สอยมากขึ้น และมีเผื่อพื้นที่ไว้วางโต๊ะเครื่องแป้งหรือเครื่องซักผ้าได้ด้วย
พูดได้ว่าสิ่งที่เราประทับใจที่สุดคือการออกแบบผังห้องที่ลงตัวอย่างแท้จริง โดยเฉพาะไอเดียการเชื่อมห้องที่ไม่ได้มีให้เห็นบ่อยๆ เรียกว่าแปลนห้องโครงการนี้ทำออกมาดีจริงๆ เพราะ Flow Design Concept จะช่วยให้การอยู่อาศัยสะดวกสบายมากขึ้น รวมถึงระเบียงนำแสงและอากาศที่จำเป็นมากสำหรับทุกห้องโดยเฉพาะการอาศัยบนตึกสูง
นอกจากการออกแบบตกแต่งจากคอนเซ็ปต์โมเดิร์นเรโทร ที่มีความลงตัวเหมาะกับการอยู่อาศัยอย่างแท้จริง แต่นอกจากนั้น ด้วยทำเลขนาดนี้ ซื้อไว้ลงทุนก็ดูจะมีแต่ได้กับได้ เพราะราคาเริ่มต้นเพียง 255,000 บาท/ตร.ม.*
ถ้าคุณกำลังหาคอนโดย่านใจกลางสุขุมวิท ในราคาที่ถือว่าถูกกว่าราคาตลาด แถมยังได้แบรนด์หรูอย่างโนเบิล เราแนะนำให้คุณลองมาดูห้องตัวอย่างได้ในวันที่ 2 – 15 พฤศจิกายนนี้ และเปิดจองรอบพิเศษวันที่ 18 พฤษจิกายนนี้ ที่โรงแรม ดิ โอกุระ เพรสทีจ พร้อมรับส่วนลดเพิ่ม 10% วันเดียวเท่านั้น โครงการไอเดียดีๆ แบบนี้ไม่อยากให้พลาดเลยจริงๆ
สามารถชมรายละเอียดเพิ่มเติม หรือคลิกลงทะเบียนได้ที่ https://goo.gl/JQG1xT
Livinginsider - Weekly Insight Report [10-16 Nov 2024]
2024-11-18
Livinginsider - Weekly Insight Report [03-09 Nov 2024]
2024-11-18
Livinginsider - Weekly Insight Report [27 Oct-02 Nov 2024]
2024-11-18
Livinginsider - Weekly Insight Report [20-26 Oct 2024]
2024-11-18
Livinginsider - Weekly Insight Report [13-19 Oct 2024]
2024-11-18
ใช้ภาษาที่เข้าใจง่าย อ่านแล้วรู้เรื่องดีครับ
ชอบมากๆๆ ไอเดียดีมาก
เขียนบทความน่าอ่านมากเลย