รายการโปรด
เรามักจะพูดกันว่า แล้ววันนึงวิกฤตจะผ่านไป และทุกอย่างจะกลับสู่สภาพปกติ ผมอยากจะบอกว่าใช่ครับ วันนึงวิกฤตจะผ่านไป แต่ ! ไม่ใช่ทุกอย่างนะครับที่จะกลับไปเหมือนเดิม
เคยได้ยินเรื่องกฎ 21 วันไม๊ครับ ? เวลาเริ่มทำอะไรที่ไม่เคยทำ วันแรก ๆ จะรู้สึกอึดอัด ไม่อยากทำ บางคนพาลเลิกทำเอากลางทางซะดื้อ ๆ แต่ถ้าเราฝืนทำไปให้ได้เกิน 21 วัน โดยเฉพาะอะไรที่มันทำแล้วดีกับตัวเอง เรื่องนั้นจะกลายเป็นนิสัยใหม่ของเรา โดยที่เราอาจจะไม่รู้ตัวเลย
จนถึงวันนี้ คงเป็นที่แน่นอนแล้วว่า วิกฤต COVID-19 จะอยู่กับเราเกิน 21 วัน เพราะฉะนั้นพฤติกรรมอะไรก็ตามที่เราเริ่มทำเพราะจำใจในช่วงเวลานี้ และมันดีกับตัวเรา มันจะกลายเป็นพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปอย่าง "ถาวร"
1) คนเริ่มซื้อของ Online อย่างเต็มรูปแบบ ไม่เว้นแม้แต่ของใช้ในบ้านจาก Supermarket และแน่นอนว่า Food delivery กลายเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ในเวลานี้
ช่วงหลายปีมานี้คนเริ่มซื้อของ Online กันมากขึ้นก็จริง แต่ถ้าดูจากตัวเลขจะเห็นเลยครับว่ายังมีคนอีกกลุ่มนึง (ใหญ่ๆ) ที่ยังเลือกซื้อของแบบเดิม ๆ ด้วยเหตุผลที่ว่า "มันคุ้นเคยทำแบบนี้มานานแล้ว"
แต่หลังจากวิกฤตรอบนี้ ความคุ้นเคยที่ว่าจะเปลี่ยนไป การซื้อของ Online จะโตเร็วยิ่งกว่าที่เคย ในทุกกลุ่มสินค้า ไม่ใช่แค่เฉพาะบางกลุ่มสินค้าเหมือนช่วงก่อนวิกฤต
ขอบคุณภาพจาก youtube.com
2) Digital currency จะถูกใช้กันจนกลายเป็นความเคยชิน และเติบโตเร็วกว่าที่เคย
เงิน Digital โดยพื้นฐานก็ดีกว่าเงินกระดาษอยู่แล้ว สะดวก รวดเร็ว ปลอดภัย สะอาด ไม่ต้องเปลืองกระดาษ สามารถจ่ายเศษเงินย่อยเท่าไหร่ก็ได้โดยไม่ต้องกังวลเรื่องเงินทอนและเหรียญ แต่ที่ผ่านมาคนยังไม่ได้ใช้กันอย่างแพร่หลาย ด้วยเหตุผลเดิม นั่นก็คือ "มันคุ้นเคย ใช้เงินกระดาษมาตั้งนานแล้ว" แน่นอนครับว่าหลังจากวิกฤตนี้ ความคุ้นเคยจะเปลี่ยนไป
ด้วยศักยภาพของเงิน Digital ที่ดีกว่าเงินกระดาษ มันจะเป็นการเปลี่ยนแปลงแบบทางเดียว ใครก็ตาม เมืองไหนก็ตาม ที่เปลี่ยนไปใช้เงิน Digital แล้ว จะไม่เปลี่ยนกลับไปใช้เงินกระดาษอีกเลย
อันนี้ไม่ใช่แค่การคาดการณ์นะครับ มันเป็น Fact ไปแล้ว เกิดขึ้นแล้วจริง ๆ ในหลายประเทศทั่วโลก อย่างผมเองก็ไม่มีเงินกระดาษในกระเป๋ามา 3 เดือนแล้ว แต่ยังคงใช้ชีวิตได้ตามปกติ 100%
ขอบคุณภาพจาก proactiveinvestors.com
3) จริง ๆ เราไม่ต้องทำงานที่ทำงานก็ได้นี่หว่า !
ผมเชื่อเหลือเกินว่าจะมีคนหลายคน บริษัทหลายบริษัท มีความคิดนี้ขึ้นมาในหัว ในช่วงที่ Working from home
Working from home ไม่ใช่เรื่องใหม่ครับ มีการคุยกันมานานแล้ว ว่าทำไมเราต้องให้พนักงานมาออฟฟิศถึง 5 วันต่อสัปดาห์ เสียทั้งเงินและเวลาในการเดินทาง แต่มีน้อยบริษัทมากครับที่จะกล้าเอาเรื่องที่คุยไปใช้จริง นั่นเพราะว่าเราไม่เคยทำมาก่อน และไม่รู้ว่าถ้าทำแล้ว ผลจะเป็นยังไง แถมยังเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับคน เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาไม่ได้ บริษัทส่วนใหญ่เลยหยุด Idea นี้ไว้แค่บนโต๊ะประชุม
แต่วิกฤตรอบนี้ทำให้เราได้ทำ Pilot run ของการ Working from home โดยที่เราไม่ได้ตั้งใจ ผมเชื่อว่าหลังจากนี้ ผู้บริหารจะมีข้อมูลมากพอที่จะตัดสินใจเปลี่ยนแปลงอะไรบางอย่าง การ Working from home ในบางวันของอาทิตย์ อาจจะกลายเป็นเรื่องปกติในอนาคต
เรื่องนี้ไม่ใช่แค่สำหรับงานออฟฟิศนะครับ งานสัมมนา งานสอนพิเศษ Workshop ต่าง ๆ ก็เหมือนกัน หลายที่เริ่มปรับมาเป็น Online ในช่วงนี้ ผมเชื่อเลยครับว่า หลังจากวิกฤต หลาย ๆ งานจะยังคงมีการสอนผ่านช่องทาง Online ต่อไป เพราะทั้งคนสอนและคนเรียนคุ้นเคยกับการเรียนผ่านโลก Digital แล้ว
จริง ๆ ยังมีอีกหลายเรื่องนะครับ ที่พฤติกรรมของคนในสังคมกำลังจะเปลี่ยนแปลงไปตลอดกาล ไม่ว่าจะเป็น Visual reality, Game online หรือแม้กระทั่ง Internet of things แต่ขอไม่ลงรายละเอียดนะครับ เดี๋ยวบทความจะยาวไป แต่ถ้าใครสนใจเรื่องไหนเป็นพิเศษ Inbox มาคุยกันได้เลย
ก่อนจบบทความนี้ ผมจะขอชี้ให้เห็นถึงอีกหนึ่งเรื่องที่ไม่ได้เกี่ยวกับพฤติกรรมผู้บริโภค แต่ก็กำลังจะเปลี่ยนไปตลอดกาลเหมือนกัน นั่นก็คือ
"การกระจาย Resource ใหม่จากบริษัทที่ล้มลายไปสู่บริษัทที่รอดจากวิกฤต"
ทั้งเงินทุน ทั้งลูกค้า ทั้งทรัพยากรต่างๆ ทั้งที่ดินทำเลดี ๆ ทั้งพนักงานที่มีศักยภาพ ทั้งหมดนี้ล้วนแล้วแต่เป็น "ทรัพยากรที่มีจำกัด" นั่นหมายความว่า ถ้ามีบริษัทไหนล้มละลาย หรือยอมแพ้ออกจากตลาดไป บริษัทที่เหลือรอดจะได้ทรัพยากรทั้งหมดไปใช้แทน
ไม่แปลกเลยครับ ที่เราจะเห็นบริษัทที่รอดจากวิกฤตแต่ละครั้ง กลับมาได้ แถมแข็งแกร่งขึ้นกว่าตอนก่อนเกิดวิกฤตซะอีก
ลองเก็บไว้คิดดูนะครับ หลังวิกฤตหลายๆ อย่างจะกลับไปเหมือนเดิม แต่ไม่ใช่ทุกอย่าง นี่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าในทุกวิกฤต ถ้าเราเข้าใจมันได้ก่อนใคร เราจะเป็นคนที่สามารถคว้าโอกาสในวิกฤตนี้ไว้ได้ครับ
ตั้งแต่ต้นปี 2020 มานี้ มีโอกาสเกิดขึ้นมากมาย ทั้งที่ผมเขียนถึงในบทความนี้ และที่ยังไม่ได้เขียนถึง ไม่ต้องคว้าไว้ทุกโอกาสก็ได้นะครับ เพราะมันอาจจะหนักเกินไป ลองมองไปรอบ ๆ เลือกดูซัก 1-2 โอกาสที่เหมาะกับตัวคุณ แล้วยื่นมือไปคว้ามันไว้ ผมรับรองว่าอีก 5-10 ปี ต่อจากนี้ จะเป็นทศวรรษที่ดีสำหรับคุณ
#ขอต้อนรับเข้าสู่ทศวรรษ2020 อย่างเป็นทางการ
#SalarymanEstator
Livinginsider รุกธุรกิจนายหน้าประกันวินาศภัย เปิดตัว ลิฟวิ่ง อินชัวร์ โบรกเกอร์ ต่อยอดบริการให้ลูกค้า Livinginsider
2022-10-31
สัญญาซื้อขายที่ดิน สัญญาจะซื้อจะขาย เข้าใจทั้ง 2 แบบ ก่อนทำสัญญา
2024-07-09
รีไฟแนนซ์บ้าน เสียค่าอะไรบ้าง และมีเงื่อนไขอะไรที่คนมีบ้านต้องรู้
2024-07-31
คอนโดมือสอง เลือกยังไงให้ได้ของดี
2019-08-21
ไอเดียจัดงานแต่งที่บ้าน ประหยัดงบ ตอบโจทย์คนรุ่นใหม่
2024-07-19
อ่านง่ายดีค่ะ
ยอดเยี่ยมมากๆค่ะ
รายละเอียดครบ ชัดเจอดีค่ะ
เขียนบทความตามกระแส ทันเหตุการณ์ดีค่ะ
อ่านเยอะๆ แล้วรู้สึกเงินในบัญชีจะสั่นๆ นะ อยากได้ขึ้นมาเลย
บทความมีประโยชน์มากมายคร้า