News
icon share

แอสเซทไวส์ ประเดิมต้นปีร่วมทุน ทาคาระ เลเบ็น พัฒนาคอนโดใหม่ แอทโมซ บางนา

LivingInsider Report 2022-01-13 11:29:30
แอสเซทไวส์ ประเดิมต้นปีร่วมทุน ทาคาระ เลเบ็น  พัฒนาคอนโดใหม่ แอทโมซ บางนา
  • เปิดปี 2565 "แอสเซทไวส์" เดินหน้าจับมือพันธมิตรใหม่ “ทาคาระ เลเบ็น” ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำของญี่ปุ่นที่มีชื่อเสียงมายาวนานถึงครึ่งศตวรรษ ลุยพัฒนาคอนโดย่านบางนา โครงการแรก “แอทโมซ บางนา” มูลค่าโครงการกว่า 2,200 ล้านบาท 

 

  • นอกจากนี้ แอสเซทไวส์ ยังเข้าซื้อกิจการ แม็กซี่ พรีเมียร์ วัน โดยหลังจากเข้าซื้อแล้ว จะเป็นผู้บริหารโครงการ “Maxxi Prime Ratchada-Sutthisan” คอนโดระดับกลาง-บน ในทำเลฮ็อต ใจกลางรัชดา-สุทธิสาร โครงการใหม่เอี่ยมเตรียมแล้วเสร็จต้นปี’65 

 

นายกรมเชษฐ์ วิพันธ์พงษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอสเซทไวส์ จำกัด (มหาชน) หรือ ASW ผู้พัฒนาอสังหาฯ ที่เป็นผู้นำด้านไลฟ์สไตล์ ด้วยแนวคิด “ความสุขที่ออกแบบมาเพื่อคุณ” หรือ “We build Happiness” เปิดเผยว่า บริษัทถือฤกษ์ดีเปิดศักราชใหม่ปีเสือ ทำข้อตกลงครั้งสำคัญพร้อมกันถึง 2 รายการ โดยได้เข้าร่วมทุนกับบริษัท ทาคาระ เลเบ็น จำกัด ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ของญี่ปุ่น เพื่อพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมร่วมกัน

แอสเซทไวส์ ประเดิมต้นปีร่วมทุน ทาคาระ เลเบ็น  พัฒนาคอนโดใหม่ แอทโมซ บางนา

 

นอกจากนี้ แอสเซทไวส์ ยังได้เข้าซื้อกิจการ บริษัท แม็กซี่ พรีเมียร์ วัน เจ้าของโครงการแม็กซี่ ไพร์ม รัชดา - สุทธิสาร นับเป็นก้าวสำคัญที่จะทำให้แอสเซทไวส์มีความแข็งแกร่งมากขึ้น เพื่อรับวัฏจักรเศรษฐกิจที่คาดว่าจะกลับมาเติบโตอีกครั้งในปี 2565 สำหรับการร่วมทุนกับบริษัท ทาคาระ เลเบ็น จำกัด นั้น ประเดิมโครงการแรกร่วมกัน มูลค่ากว่า 2,200 ล้านบาท เป็นโครงการบนทำเลใหม่ NEW CBD คือ โครงการ แอทโมซ บางนา

 

ซึ่งเป็นคอนโดมิเนียมโลว์ไรส์ขนาดใหญ่ บนทำเลศักยภาพย่านบางนา ที่กำลังเติบโต ใกล้รถไฟฟ้า BTS สายสีเขียว และ MRT สายสีเหลือง ติดถนนใหญ่เส้นบางนา-ตราด โดยบริษัทจะถือหุ้นในสัดส่วน 51% และทาคาระ เลเบ็น ถือหุ้นในสัดส่วน 49%

 

บริษัท ทาคาระ เลเบ็น จำกัด เป็นบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำที่พัฒนาโครงการคอนโดมิเนียม และบ้านเดี่ยวมากว่า 500 โครงการ ทั้งยังประกอบธุรกิจโรงผลิตไฟฟ้า และธุรกิจโรงแรมในญี่ปุ่น ก่อตั้งเมื่อปี พ.ศ. 2515 จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์โตเกียวเมื่อปี พ.ศ. 2547 และจะดำเนินธุรกิจครบ 50 ปีในปีนี้

 

นายคาซูอิชิ ชิมาดะ CEO บริษัท ทาคาระ เลเบ็น จำกัด กล่าวว่า บริษัทมองหาพันธมิตรที่มีความแข็งแกร่งในแต่ละประเทศ เพื่อร่วมกันสร้างโอกาสในการเติบโต โดยแอสเซทไวส์ เป็นบริษัทมหาชนที่มีความมั่นคงและอนาคตไกลในธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ของไทย พิสูจน์ได้จากทั้งคุณภาพของโครงการ และความสามารถในการเติบโตอย่างต่อเนื่อง

แอสเซทไวส์ ประเดิมต้นปีร่วมทุน ทาคาระ เลเบ็น  พัฒนาคอนโดใหม่ แอทโมซ บางนา

 

ทั้งยังมีปรัชญาในการดำเนินธุรกิจตรงกัน คือยึดมั่นในการออกแบบความสุขเพื่อการอยู่อาศัย บริษัทจึงมั่นใจ และตัดสินใจร่วมทุนพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยในประเทศไทยเป็นครั้งแรก

 

ทั้งนี้ทาคาระ เลเบ็น มองว่า การทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทยมีศักยภาพในการเติบโตมากที่สุดประเทศหนึ่งในเอเชีย เนื่องจากปัจจุบันมีการพัฒนาโครงการที่เกี่ยวข้องกับโครงสร้างพื้นฐานอย่างต่อเนื่อง อาทิ โครงการรถไฟฟ้าสายต่าง ๆ 


ตลอดจนโครงการรถไฟฟ้าความเร็วสูง ดังนั้นการร่วมทุนกับแอสเซทไวส์ เพื่อพัฒนาโครงการแอทโมซ บางนา ในครั้งนี้ จะถือเป็นการวางรากฐานของบริษัทในระยะยาว สู่การเติบโตที่สอดคล้องกับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในประเทศไทย

 

นอกเหนือจากการร่วมทุนครั้งสำคัญแล้ว แอสเซทไวส์ยังมีอีกก้าวสำคัญ โดย นายกรมเชษฐ์ กล่าวว่า บริษัทฯ ได้เข้าซื้อกิจการ บริษัท แม็กซี่ พรีเมียร์ วัน ซึ่งมีทุนจดทะเบียน 30 ล้านบาท โดยหลังจากนี้จะได้รับโครงการ แม็กซี่ ไพร์ม รัชดา - สุทธิสาร (Maxxi Prime Ratchada-Sutthisan) ซึ่งโครงการตั้งอยู่ในทำเลทองใจกลางรัชดา – สุทธิสาร เข้ามาอยู่ในพอร์ตด้วย

แอสเซทไวส์ ประเดิมต้นปีร่วมทุน ทาคาระ เลเบ็น  พัฒนาคอนโดใหม่ แอทโมซ บางนา

 

โดยโครงการนี้ผ่านการคัดสรรมาเป็นอย่างดี สอดคล้องกับหลักการพัฒนาโครงการของแอสเซทไวส์ คือเน้นสร้างความสุขในการอยู่อาศัย ผ่านทั้งตัวโครงการที่ดี การออกแบบห้องพักที่สวยงามลงตัว และการมอบความสุขด้วยส่วนกลาง (Facility) ที่มอบให้อย่างเต็มที่ เมื่อเทียบกับคอนโดมิเนียมในระดับ Affordable ด้วยกัน

แอสเซทไวส์ ประเดิมต้นปีร่วมทุน ทาคาระ เลเบ็น  พัฒนาคอนโดใหม่ แอทโมซ บางนา

 

และโครงการนี้มีมูลค่า 570 ล้านบาท เป็นคอนโดมิเนียมสูง 8 ชั้น 1 อาคาร มีทั้งหมด 218 ยูนิต ตั้งอยู่ใกล้กับรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน ประมาณ 400 เมตรเท่านั้น ทำเลดี อยู่ในพื้นที่ชุมชน แหล่งงาน และสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน

 

นอกจากนี้ยังอยู่ใกล้กับส่วนต่อขยายรถไฟฟ้าสายสีเหลือง สถานีลาดพร้าว ที่คาดว่าจะแล้วเสร็จในกลางปี 2565 เบื้องต้นการพัฒนาโครงการแล้วเสร็จไปกว่า 83% มีกำหนดจะเสร็จสิ้นในไตรมาสแรกของปี 2565 

 

ซึ่งหมายความว่าพร้อมโอนกรรมสิทธิ์เพื่อสร้างรายได้ให้กับบริษัทได้ในเวลาอันรวดเร็ว ช่วยลดความเสี่ยงและระยะเวลาในการพัฒนาโครงการ ทั้งยังเป็นการลงทุนที่คุ้มค่า เพราะได้อัตราผลตอบแทนภายใน (IRR) สูงกว่าการพัฒนาโครงการเองจากที่ดินเปล่า

 

นายกรมเชษฐ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า การที่บริษัทฯ ปิดทั้ง 2 ดีลใหญ่ในช่วงต้นปี 2565 นี้ ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ยิ่งใหญ่สำหรับก้าวใหม่ของบริษัทฯ และยังเป็นจิ๊กซอว์สำคัญที่จะทำให้รายได้และการเติบโตในปีนี้เป็นไปตามเป้าหมายอย่างแข็งแกร่งอีกด้วย

>> ช่องทางในการติดตามข่าวสาร <<
ไม่พลาดข่าวสำคัญ แค่กดเป็นเพื่อนกับ ไลน์ @livinginsider ที่นี่

บทความอื่นๆ

livinginsider livinginsider