วิทยุการบิน รับ 1 ล้านไฟลต์ ทุ่มหมื่นล้านสร้างสมดุล น่านฟ้า-ศก.

ปัจจุบันอุตสาหกรรมการบินของไทยเติบโตสุดขีด คาดว่าถึงสิ้นปี 2560 จะแตะที่ 1 ล้านเที่ยวบิน ทำให้บริษัท วิทยุการบินแห่งประเทศไทย จำกัด ต้องยกเครื่องระบบเทคโนโลยีใหม่บริหารพื้นที่น่านฟ้า รองรับเที่ยวบินจะทะยานถึง 2 ล้านเที่ยวบินในอีก 5 ปีข้างหน้า

"สาริณี อังศุสิงห์" กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท วิทยุการบินแห่งประเทศไทย จำกัดกล่าวว่า การบินของประเทศไทยเทียบกับต่างประเทศเติบโตเฉลี่ย 10% ทุกปีติดต่อกัน 6 ปีแล้ว ถึงสิ้นปี 2560 จะมีเที่ยวบินรวมอยู่ที่ 1 ล้านเที่ยวบิน ขณะที่ต่างประเทศโต 6.3%
 

ที่ผ่านมาบริษัทลงทุนปรับปรุงระบบใหม่ เรียกว่าระบบท็อปสกาย ใช้เงินลงทุน 7 พันล้านบาท เป็นโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานระบบบริการการเดินอากาศ (TMCS) เปลี่ยนจากระบบออโตมาเป็นฟูลลี่ออโตเมชั่น เนื่องจากระบบปัจจุบันที่รองรับแน่นไม่เพียงพอต่อความต้องการของเที่ยวบินในปัจจุบัน จึงต้องปรับปรุงเทคโนโลยีใหม่จัดการจราจรไม่ให้ดีเลย์และปลอดภัย
 

การนำระบบใหม่มาใช้งานเป็นการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญในการให้บริการจราจรทางอากาศ เพื่อรองรับปริมาณเที่ยวบินที่เพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยคำนึงถึงความปลอดภัยตามมาตรฐานสากลเป็นสำคัญ

"เราเริ่มมา 5 ปี มีปรับปรุงระบบและสร้างอาคารควบคุมใหม่ จะลงทุนเปลี่ยนระบบอุปกรณ์เพิ่มอีกรวมเบ็ดเสร็จก็ 1.5 หมื่นล้านบาทที่วางแผนไว้ ใช้เงินเราเองปีละ 5-7 พันล้านบาท ซึ่งเทคโนโลยีต้องเปลี่ยนทุก 15 ปี ให้รับได้ถึง 2 ล้านเที่ยวบิน"
 

ขณะนี้ระบบอุปกรณ์ใหม่ได้พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานการให้บริการทางเดินอากาศ เส้นทางการบินก็ต้องปรับปรุง น่านฟ้าต้องถูกจัดการโครงสร้างใหม่ตามภาคความมั่นคง รวมถึงบุคลากรก็ต้องฝึกฝน
 

ซึ่งระบบนี้กำลังทดสอบและเริ่มฝึกอบรม จะทดสอบระบบควบคู่กับระบบปัจจุบันที่สนามบินสุวรรณภูมิที่แรกเมื่อวันที่ 25 เม.ย.ที่ผ่านมา ในส่วนของศูนย์ควบคุมการบินภูมิภาค จะเริ่มเดือน ต.ค.และพร้อมดำเนินการเต็มรูปแบบปี 2561
 

ขอย้ำว่าช่วงระหว่างทดสอบจะไม่มีผลกระทบต่อการให้บริการจราจรทางอากาศเนื่องจากยังคงใช้ระบบปัจจุบันเป็นระบบหลักในการให้บริการ
 

"ระบบนี้เป็นระบบทันสมัยที่สุดในโลกจะช่วยเรื่องข้อมูลทั้งประเทศเข้ามาเป็นอันเดียวกันจัดทั้งขึ้น-ลงสลอตเส้นทางบินเชื่อมโยงไปถึงต่างประเทศ บริหารจัดการน่านฟ้าให้เกิดประโยชน์สูงสุด น่านฟ้าเท่าเดิมนี้จะสามารถรองรับปริมาณเที่ยวบินไปได้ถึง 1.5 ล้านเที่ยวในอีก 5 ปี เพิ่มโอกาสแข่งขันของประเทศ"
 

นอกจากลงทุนด้านเทคโนโลยี "ซีอีโอวิทยุการบินฯ" ฉายภาพให้ฟังว่า สิ่งสำคัญอีกอย่าง คือ จัดการห้วงอากาศของประเทศไทย ทางกระทรวงคมนาคมได้ยกระดับให้เป็นวาระที่สำคัญที่สุด เพื่อทำให้บนฟ้ารองรับเที่ยวบินได้
 

ขณะที่ภาคพื้นดินคือท่าอากาศยานก็มีการลงทุนที่สอดคล้องกัน ทั้งเรื่องการบริหารจัดการจากพื้นดินขึ้นไปบนฟ้า และพาแต่ละเที่ยวบินผ่านพ้นออกไปสู่ประเทศข้างเคียงหรือสนามบินในประเทศของเราได้อย่างปลอดภัย มีประสิทธิภาพ ตรงเวลา ใช้เวลาบินน้อย นั่นคือสิ่งที่ท้าทาย
 

"ห้วงอากาศปัจจุบันวิทยุการบินฯกับภาคความมั่นคงโดยเฉพาะกองทัพอากาศทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดแต่เฉพาะเวลาเฉพาะเรื่องที่สำคัญหรือจากปริมาณเที่ยวบินที่สูงขึ้น"
 

แค่วันนี้1 ล้าน เป็น 1.5 ล้าน และ 2.7 ล้านเที่ยวในอีก 15 ปีข้างหน้า เป็นไปไม่ได้เลยถ้าทำเฉพาะคราว ต้องช่วยกันคิดในการจัดการห้วงอากาศว่าทำอย่างไรจะให้เกิดความยืดหยุ่นเหมือนประเทศที่พัฒนาแล้ว เพื่อรักษาอธิปไตยเหนือน่านฟ้าให้สมดุลระหว่างภาคความมั่นคงกับภาคเศรษฐกิจ เพื่อนำอุตสาหกรรมการบินของประเทศจับมือเป็นทีมไทยแลนด์ 4.0
 

นอกจากนี้ บริษัทยังลงทุนสร้างหอบังคับการบินใหม่ทดแทนหอเดิมจะเริ่มสร้างปี 2561 อาทิ เชียงใหม่ วงเงิน 163.19 ล้านบาท แทนหอเดิมไม่ได้ออกแบบรองรับระบบสั่นสะเทือน ,สนามบินเบตง วงเงิน 129.66 ล้านบาท รองรับสนามบินใหม่ที่กำลังก่อสร้าง และสนามบินแม่สอด เพิ่งออกแบบเสร็จ
 

ความคืบหน้าการปลดธงแดง ICAO ดำเนินการแล้วเสร็จ 7 ข้อ จาก 17 ข้อ กำลังดำเนินการ 4 ข้อ อีก 6 ข้อไม่เกี่ยวกับบริษัท เป็นของสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (กพท.)
 

สิ่งที่ต้องทำตาม ICAO เช่น MOU กับกรมอุตุนิยมวิทยาเรื่องทัศนวิสัยการมอง ปรับปรุงระบบอุปกรณ์บางตัว วิธีการทำงาน เช่น นักบินต้องพูดทวน
 

ตอนนี้ธงแดง ICAO ไม่ได้ปิดกั้นเราเลย แต่การเพิ่มจุดบิน และต้องบริหารจัดการทางอากาศได้ เราสู้ต่างประเทศไม่ได้เพราะเขามีเทคโนโลยีและคนมา 10 ปีแล้ว

ขอบคุณภาพและข่าวจาก ประชาชาติธุรกิจ

http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1493804733