Favorite
แขกรับเชิญวันนี้ “วิโรจน์ เจริญตรา” กรรมการผู้จัดการ บริษัท พรีบิลท์ จำกัด (มหาชน) บริษัทรับเหมาก่อสร้างอาคารติดอันดับท็อป 5 ร่วมเปิดมุมมองถึงผลกระทบที่มีต่อวงการอสังหาริมทรัพย์
“รับเหมาจับเข่าคุยกัน เดือดร้อนมากตอนนี้” คำบ่นสั้น ๆ มาพร้อมกับคำอธิบายยาว ๆ “พรีบิลท์เป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ทำถูกกฎหมาย 100% แต่เรามี 10 กว่าไซต์ก่อสร้างต้องใช้รับเหมาช่วง แรงงานก็มีเปลี่ยนหน้าเปลี่ยนตาไปเรื่อย ๆ เราก็ตรวจไม่ไหวหรอก ตัวรับเหมาช่วงเองก็ตรวจไม่ไหว เพราะไม่ได้มีงานต่อเนื่อง ไม่เหมือนบริษัท สมมุติรับเหมาช่วงทำงานได้ 6 เดือน ตกงาน 1 เดือนรองานใหม่ลูกน้องก็หนีหมดเพราะไม่มีอะไรจะกิน เพราะฉะนั้นรับเหมาที่รับเป็นโควตาต้องแบกต้นทุนค่าแรงงานตลอดไม่ว่าจะมีงานหรือไม่มีงาน”
วิโรจน์ เจริญตรา
แนะลดค่าหัวเหลือ 5-6 พัน
ประเด็นการสนทนาจึงพุ่งเป้าเป็นเรื่อง “ค่าใช้จ่าย” ในการนำเข้าแรงงานต่างด้าวของผู้ประกอบการไทย”ตอนนี้ปัญหาส่วนใหญ่ การที่จะให้แรงงานต่างด้าวเข้าระบบ มีค่าใช้จ่ายตกหัวละ 2 หมื่นบาทบวกลบ ถ้าเป็นแรงงานเขมรแพงกว่าหน่อยหนึ่งแต่ได้พาสปอร์ต 10 ปี เลยแพงกว่าอยู่ที่หัวละ 2.5 หมื่นบาท แรงงานพม่าถูกกว่า”
อยากรู้ว่าเดือดร้อนยังไง ให้ลองนึกดู กรณีผู้รับเหมารายย่อยหรือผู้รับเหมาช่วง ถ้ามีลูกน้อง 10 คน คูณด้วยหัวละ 2-2.5 หมื่นบาท เท่ากับมีค่าใช้จ่าย 4-5 แสนบาท บอกได้เลยว่าส่วนใหญ่ไม่มีเงินหรอก
ดูเหมือนยังเดือดร้อนไม่พอ เพราะหลังจากนำเข้าแรงงานต่างด้าวแล้ว วิธีการปกติคือนายจ้างหรือผู้นำเข้าจ่ายเงิน 2-2.5 หมื่นบาทให้ก่อน จากนั้นแรงงานต่างด้าวก็ทำงานแล้วให้หักเงินเดือนมาคืนทีหลัง
ปัญหาใหม่เกิดตามมาทันที เพราะแรงงานต่างด้าวเมื่อได้เข้ามาในประเทศไทยแล้วมักจะทำกับนายจ้างคนเดิมแค่ 1-2 เดือนก็ย้ายที่ทำงาน ย้ายไปหานายจ้างใหม่ เหตุผลง่ายนิดเดียวเพราะทำงานกับนายจ้างใหม่ได้รับเงินเต็มเดือน เทียบกับอยู่กับนายจ้างเดิมต้องถูกหักเงิน
“เพราะฉะนั้น อยากให้เข้าระบบจริง ๆ รัฐบาลต้องลดค่าใช้จ่ายตรงนี้ เพราะผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ผู้รับเหมาย่อยถ้ามีลูกน้อง 20-30 คนก็แบกค่าใช้จ่ายตรงนี้ไม่ไหวแล้ว เป็นไปได้ไหมอย่าให้ถึง 2 หมื่นบาท หัวละ 5-6 พันบาท หากค่าใช้จ่ายถูกลงคนทำงานทั้งนายจ้างลูกจ้างก็จะเข้าระบบกันหมด ส่วนรัฐบาลก็ไปหักภาษีหรือประกันสังคมให้มากขึ้น อาจหักกองทุนส่งคืนประเทศหรืออะไรก็ว่าไป ไปหารายได้เข้ารัฐทางอื่นจะดีกว่า”
สิ่งที่ประเมินก็คือหลังจากเวลาผ่อนผัน 6 เดือนหมดลงและเริ่มบังคับใช้กฎหมายใหม่ที่มีอัตราโทษรุนแรง โดยเฉพาะค่าปรับสูงสุดหัวละไม่เกิน 2 หมื่นบาทเพิ่มเป็น 4-8 แสนบาท ถ้ายังไม่สามารถจูงใจการใช้แรงงานต่างด้าวให้เข้าระบบได้ ปัญหาก็ยังทิ้งเชื้ออยู่ดี
จับตาขึ้นค่าตัว-วัสดุจ่อปรับ
คำถามหลัก คือ ต้นปีหน้าผลกระทบยังมีหรือไม่ ถ้ามี ระดับความรุนแรงมากน้อยแค่ไหน “ผมว่าหลังจากผ่อนผัน 6 เดือน สิ่งที่จะกระทบ 1.ขาดแคลนแน่นอน เกิดภาวะแย่งคนงาน บางคน (แรงงานต่างด้าว) กลับไปถ้ายุ่งยากก็ไม่มา หรือไม่มีเงินเพราะค่าปรับสูงมาก ย้ายไปทำงานประเทศอื่นก็มีนะ หรือกลับไปทำงานพม่าเลย งานที่โน่นก็บูม ค่าแรงที่พม่าก็เริ่มจะสูง ค่าครองชีพยังต่ำ ผมกลัวว่าจะกลับมาไม่หมด”
ภาวะแย่งแรงงานเล็ก ๆ ได้ก่อตัวขึ้นมาแล้ว “วิโรจน์” บอกว่า ณ ตอนนี้มีการอัพค่าแรงกันแล้ว เช่น เคยจ้างแรงงานต่างด้าว 300 บาทตอนนี้เริ่มมี 320-330 บาทแล้ว ในขณะที่แม้แรงงานก่อสร้างขาดแคลน แต่คนไทยก็ไม่ทำอาชีพนี้อยู่แล้ว หรือทำน้อยลง
“ยิ่งปีหน้าบอกว่าจะมีเมกะโปรเจ็กต์ภาครัฐประมูลออกมาอีกจำนวนมาก ต่อไปค่าก่อสร้างขึ้นแน่นอน เพราะไซต์ก่อสร้างทุกวันนี้พึ่งแรงงานต่างด้าว 70-80%”
2.ค่าวัสดุก่อสร้างจะขึ้น เพราะอย่าลืมว่าวัสดุแต่ละตัวก็ใช้แรงงานต่างด้าวเป็นส่วนหนึ่งของต้นทุนราคาสินค้า โฟกัสสินค้ากลุ่มที่ใช้แรงงานหรือกลุ่มที่ไม่ได้ใช้เครื่องจักรในการผลิต เช่น ทำประตู หน้าต่าง ประเมินต้นทุนค่าวัสดุน่าจะเห็นเพิ่มขึ้น 5%
บ้าน-คอนโดแพงขึ้นหรือไม่
สำหรับคำถามกระแทกใจผู้บริโภคมากที่สุดหนีไม่พ้นบ้าน-คอนโดมิเนียมขึ้นราคาหรือไม่
“แนวโน้มต้นทุนค่าแรงขึ้น กระทบกับค่างาน ณ วันนี้เขาปรับกันแล้ว วันนี้ถ้าใครยังไม่ได้เซ็นสัญญา ราคาก่อสร้างก็ต้องปรับโครงการอสังหาฯ ส่วนใหญ่ล็อกรับเหมาไม่เกิน 6 เดือน หลังจากนั้นน่าจะได้เห็นงานใหม่ต้องขึ้นแน่นอน”
ในทางเทคนิค คำนวณคร่าว ๆ ผลกระทบหากค่าแรงงานขึ้น กรณีโครงการไฮเอนด์ ถ้าใช้สูตรค่าก่อสร้างต่อต้นทุนที่ดิน 50/50 แล้วมีการขอขึ้นค่าแรง 5% เทียบเท่าต้นทุนแพงขึ้น 2.5% ของราคาอสังหาฯ
ในขณะที่โครงการโลว์เอนด์หรือกลุ่มตลาดกลาง-ล่าง ถ้าสูตรค่าก่อสร้างต่อต้นทุนที่ดิน 70/30 (ปกติทำเลตลาดนี้ที่ดินจะถูกกว่า) แล้วมีการขอขึ้นค่าแรง 5% เทียบเท่าต้นทุนแพงขึ้น 3-4% ของราคาอสังหาฯ
อย่างไรก็ตาม วิเคราะห์แบบระดับวิกฤต ปัญหาราคายังด้อยกว่าปัญหาขาดแคลนแรงงาน “ราคามันปรับได้แต่ผมมองว่าแรงงานขาดแคลนเป็นเรื่องเดือดร้อนมากกว่า ถ้าก่อสร้างและส่งมอบไม่ทัน เศรษฐกิจชะงักหมด ทั้งโปรเจ็กต์รัฐและเอกชน ความสามารถในการแข่งขันของประเทศก็ลดลง ถ้าแรงงานเราไม่จูงใจ (ให้เข้ามาทำงาน) ก็ไม่รู้จะเอาอะไรแข่งขันแล้ว”
สางปมใหญ่ “ย้ายข้ามเขต”
สุดท้าย ข้อเสนอแนะถึงรัฐบาลอันดับแรกรัฐต้องเพิ่มโควตา และต้องเปิดให้เขา (แรงงานต่างด้าว) ทำบัตรเพราะบัตรชมพูหมดอายุ 5 ปีแล้วภายใน 31 มีนาคม 2561 แรงงานต่างด้าวก็ต้องเดินทางกลับไปทำเอกสารที่ประเทศต้นทางอีก
กับข้อเสนอสำคัญไม่แพ้กันคือ การแก้ปัญหาการย้ายข้ามเขตของแรงงานต่างด้าว โดยขอให้พื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑลเป็น 1 เขต
“สภาพปัญหาในกรุงเทพฯ แค่ย้ายไซต์ก่อสร้างจากพญาไทไปสีลมก็โดนจับแล้ว สัญญางานของผมในกรุงเทพฯ มี 10 กว่าไซต์ ต้องทำเรื่องวุ่นวายไปเลยล่ะ เวลาก็นานไป ควรแจ้งปุ๊บย้ายปั๊บได้เลย แต่กลายเป็นว่าต้องรออีก 7 วันซึ่งแรงงานรอไม่ได้หรอกเพราะทำงานรายวันมีรายได้รายวัน ต้องกินต้องใช้ทุกวัน ในทางเทคโนโลยีตอนนี้มีบัตรสมาร์ทการ์ด แจ้งที่ไหนก็รู้ได้เลย รัฐบาลตามได้หมด”
สิ่งที่เอกชนเอาใจช่วยรัฐบาลมากที่สุดคือการสร้างสมดุลระหว่าง “ความมั่นคง เศรษฐกิจ สังคม” เพราะเข้าใจดีว่าถ้าทุกอย่างทำมาเป็นสิบ ๆ ปีแล้วคงลำบากที่อยู่ ๆ จะมาแก้ให้เสร็จใน 6 เดือน
ขอบคุณภาพและข่าวจาก ประชาชาติธุรกิจ
https://www.prachachat.net/property/news-7161
เอสบีฯ เปิดตัว “Pet Lovers Corner” โซนเฟอร์นิเจอร์และของแต่งบ้านตอบโจทย์คนรักสัตว์เลี้ยง
51 minutes
“สโคป หลังสวน” สร้างสถิติใหม่ ราคาปล่อยเช่าต่อตารางเมตรสูงที่สุดในกรุงเทพฯ 2,500 บาท/ตร.ม. ชูจุดเด่นคอนโด Freehold ที่หายากในทำเลหลังสวน
59 minutes
คอนโดโครงการใหม่ 2567 บนทำเลศักยภาพ มีที่ไหนบ้าง?
2 hours
“มาร์ควิส พญาไท” กระแสดีเกินคาด เหตุอยู่บนทำเลศักยภาพ หนุนยอดจองรอบพิเศษเป็นที่น่าพอใจ
2 hours
Honour Group เปิดตัว “Once Wongamat” คอนโดหรูทำเลพัทยา พร้อมวิวทะเลแบบพาโนรามา เริ่ม 5.9 ลบ. เจาะกลุ่มไฮเอนด์ที่มองหาที่พักในเมืองตากอากาศ
yesterday
อ่านง่าย เข้าใจง่าย ไว้จะเข้ามาอ่านบ่อยๆค่ะ
โดยรวมดีนะคะ
ข้อมูลดีมาก ระเอียดมากครับ
บทความดีมากครับ