![Favorite](https://www.livinginsider.com/assets18/images/icon/mobile-more/fav2.png)
Favorite
“ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้” ปลื้มหลังโครงการร่วมทุนเริ่มออกผล Q1 ทยอยกวาดรายได้จาก 2 โครงการแรกแล้วกว่า 1,400 ล้าน เผยโครงการร่วมทุนที่เปิดพรีเซลกว่า 2.8 หมื่นล้าน มียอดขายตุนแล้วกว่า 90% พร้อมทยอยโอนกรรมสิทธิ์ต่อเนื่อง เร่งออกมาตรการใหม่ๆ พร้อมรับมือ COVID-19 และ Digital Disruption
นายพีระพงศ์ จรูญเอก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI ผู้พัฒนาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร เปิดเผยว่า กลุ่มโครงการร่วมทุน (JV) ของบริษัทมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง หลังจากที่ได้ทยอยร่วมทุนกับบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ยักษ์ใหญ่หลายบริษัทมาตั้งแต่ช่วงกลางปี 2560 จนปัจจุบัน บริษัทมีโครงการคอนโดมิเนียมร่วมทุนสะสม มูลค่าโครงการรวมกว่า 35,434 ล้านบาท และโครงการโรงแรม และเซอร์วิสอพาร์ตเมนท์ร่วมทุนสะสมอีกกว่า 9,200 ล้านบาท
ล่าสุด เมื่อช่วง ไตรมาส 1 ที่ผ่านมา บริษัทเริ่มทยอยรับรู้รายได้จากการโอนกรรมสิทธิ์ ในโครงการคอนโดมิเนียมร่วมทุนที่สร้างเสร็จตามแผน 2 โครงการแรก ได้แก่ โครงการไนท์บริดจ์ คอลลาจ รามคำแหง มูลค่าโครงการกว่า 2,054 ล้านบาท และ โครงการไนท์บริดจ์ ไพร์ม รัชโยธิน มูลค่าโครงการกว่า 1,680 ล้านบาท โดยปัจจุบัน มียอดการโอนกรรมสิทธิ์เข้ามาแล้วกว่า 1,400 ล้านบาท และจะทยอยรับรู้ต่อเนื่องต่อในไตรมาส 2
“โครงการที่อยู่อาศัยร่วมทุนที่เปิดขายแล้วของเรา มูลค่าโครงการรวมกว่า 2.8 หมื่นล้านบาท ได้รับกระแสตอบรับที่ดีมาโดยตลอด คิดเป็นยอดขายเฉลี่ยสูงถึงประมาณ 90% ของมูลค่าโครงการ ซึ่งในปี 2563 จะมีโครงการร่วมทุนที่สร้างเสร็จพร้อมส่งมอบจำนวน 4 โครงการ คือ 1. โครงการไนท์บริดจ์ คอลลาจ รามคำแหง มูลค่าโครงการ 2,054 ล้านบาท 2. โครงการไนท์บริดจ์ ไพร์ม รัชโยธิน มูลค่าโครงการ 1,680 ล้านบาท ซึ่งทั้ง 2 โครงการเริ่มทะยอยรับรู้ตั้งแต่ไตรมาส 1
3. โครงการไนท์บริดจ์ ไพร์ม อ่อนนุช มูลค่าโครงการ 2,600 ล้านบาท วางแผนพร้อมส่งมอบภายในไตรมาส 3/63 และ 4. โครงการไนท์บริดจ์ สเปซ รัชโยธิน มูลค่าโครงการ 2,700 ล้านบาท วางแผนพร้อมส่งมอบภายในไตรมาส 4/63 คาดว่ารายได้ซึ่งเป็นผลจากโครงการร่วมทุนจะเข้ามาอย่างแข็งแกร่งและต่อเนื่อง” นายพีระพงศ์ กล่าว
นอกจากนี้ บริษัทยังคงมีโครงการขนาดใหญ่อื่นๆ พร้อมทยอยโอนกรรมสิทธิ์อย่างต่อเนื่อง อาทิ โครงการไนท์บริดจ์ ไพร์ม สาทร มูลค่าโครงการ 3,890 ล้านบาท ซึ่งปัจจุบันมีการโอนกรรมสิทธิ์สะสมแล้วถึงกว่า 3,100 ล้านบาท หรือคิดเป็น 80% ของมูลค่าโครงการ ขณะเดียวกันในส่วนของโครงการบ้านจัดสรรอีกหลายโครงการก็ยังคงทยอยโอนกรรมสิทธิ์ต่อเนื่องตลอดทั้งปี
นายพีระพงศ์ กล่าวอีกว่า ภายใต้สถานการณ์ COVID-19 ยังมีสถานการณ์ที่อำนวยต่อการซื้อที่อยู่อาศัย เนื่องจากรัฐบาลได้มีมาตรการช่วยเหลือ ผู้ซื้ออสังหาริมทรัพย์ออกมาอย่างต่อเนื่อง อาทิ การลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย การเปิดโอกาสให้สถาบันการเงินช่วยเหลือผู้ซื้อบ้าน จึงทำให้ค่าใช้จ่ายในการผ่อนโครงการที่อยู่อาศัย คุ้มค่ากว่าการจ่ายค่าเช่า ประกอบกับผู้ประกอบการเจ้าต่างๆ ยังคงมีโปรโมชั่นออกมาอย่างต่อเนื่อง ถือเป็นโอกาสดีของกลุ่มเรียลดีมานด์ ที่กำลังมองหาที่อยู่อาศัยที่คุ้มค่า
ทั้งนี้บริษัทยังคงเฝ้าติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดและปรับตัวอย่างต่อเนื่อง อาทิการเสริมช่องทางการตลาดอื่นๆ โดยจับมือกับ Lazada และ Shopee ทยอยออกแคมเปญตั้งแต่ช่วงปลายเดือน มี.ค.ที่ผ่านมา พร้อมการออกมาตรการสร้างความมั่นใจด้านสุขภาพ ส่งผลให้ในไตรมาส 1 บริษัทมียอดขายแล้วกว่า 4,500 ล้านบาท หรือคิดเป็นราว 21% ของเป้ายอดขายทั้งปี
“ในวันที่ผู้บริโภคจำนวนมากต้อง Work From Home หน้าที่ของออริจิ้นคือ ต้องทำ Home ให้เวิร์ค ให้ได้คุณภาพ ให้ผู้บริโภคกล้าตัดสินใจซื้อ มั่นใจในการโอนกรรมสิทธิ์ ช่วงที่ผ่านมาถือเป็นบทพิสูจน์สำหรับเราเช่นกัน ว่าเราสามารถปรับตัว สามารถพัฒนาโครงการคุณภาพ และสร้างความไว้วางใจให้ผู้บริโภคได้แค่ไหน
วันนี้ยอดขายและยอดโอนกรรมสิทธิ์ทั้งโครงการทั่วไป และโครงการร่วมทุนที่ออกมาได้ยืนยันถึงความสามารถในการขับเคลื่อนธุรกิจของเราแล้ว เราเองจะมุ่งมั่นพัฒนาตัวเองต่อไป เพิ่มมูลค่าให้สินค้าใหม่ๆ บูรณาการการทำงานให้มีความยืดหยุ่น พร้อมรับมือความเปลี่ยนแปลงและความท้าทายที่อาจเกิดขึ้น เพื่อให้ผู้บริโภคยังสามารถเข้าถึง Home ที่เวิร์คได้ต่อไป” นายพีระพงศ์ กล่าว
ทั้งนี้ บริษัทจะยังเดินหน้าพิจารณามาตรการใหม่ๆ 3 ด้านอย่างต่อเนื่อง ได้แก่ 1.มาตรการเพื่อผู้บริโภค ทั้งเพื่อกลุ่มที่กำลังพิจารณาจะซื้อโครงการของออริจิ้น และกลุ่มที่ปัจจุบันเป็นลูกบ้านออริจิ้นแล้ว 2.มาตรการเพื่อพนักงาน และ 3.มาตรการเชิงธุรกิจ เพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการธุรกิจ เดินหน้าจับมือพันธมิตรใหม่ๆ ในรูปแบบ Open Platform เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่ผู้บริโภค
พร้อมทั้งพิจารณาปรับปรุงแผนธุรกิจ ให้ยังคงสามารถขับเคลื่อนไปได้ภายใต้ทุกสถานการณ์ รองรับทั้งสถานการณ์ COVID-19 และสถานการณ์ความเปลี่ยนแปลงจาก Digital Disruption ที่ถูกเร่งให้เกิดเร็วขึ้น ดำเนินธุรกิจพร้อมทั้งส่งมอบสินค้าและบริการคุณภาพให้ผู้บริโภคได้ตามเป้าหมาย คาดว่าจะเห็นมาตรการใหม่ๆ ทยอยออกมาอย่างต่อเนื่องในเดือน เม.ย.นี้
สำหรับปี 2563 บริษัทมีแผนเปิดตัว โครงการใหม่ทั้งสิ้น 14 โครงการ มูลค่าโครงการรวมกว่า 20,000 ล้านบาท โดยเป้ายอดโอนกรรมสิทธิ์อยู่ที่ 14,000 ล้านบาท และตั้งเป้ารายได้รวมอยู่ที่ 16,000 ล้านบาท และเป้ายอดขายที่ 21,500 ล้านบาท
ศุภาลัย เตรียมเปิดคอนโด 8 โครงการ มากสุดในรอบ 10 ปี หลัง Sold Out 100% จาก 5 โครงการพร้อมอยู่ มูลค่ารวมกว่า 10,000 ลบ.
yesterday
ออริจิ้น เวอร์ติเคิล เปิดจอง “SO ORIGIN SUKHUMVIT 105” รอบ VVIP 2 วัน ต่างชาติแห่จองเต็มโควตา โกยยอดขาย 1,500 ลบ.
yesterday
เอทีที แอสเสท เปิดตัว “อาเว่ บางนา-สุขุมวิท” บ้านลักชูรี Multi-Lifestyle ชูจุดขาย Customization พร้อม 2 ห้องนอนใหญ่ เพียง 20 ยูนิต เริ่ม 19 ลบ.*
yesterday
3 ยักษ์อุตสาหกรรม “เฟรเซอร์ส-โรจนะ-เอเชีย อินดัสเตรียล เอสเตท” เปิดตัว “อารยะ ดิ อีสเทิร์น เกตเวย์” ระบบนิเวศเมืองอุตสาหกรรมและนวัตกรรมครบวงจรครั้งแรกในไทย
yesterday
A5 เปิดตัว “CINQ ROYAL The Eighteen Bangna KM.7” บ้านเดี่ยวสุดหรู เอกสิทธิ์เฉพาะ 18 ครอบครัว วิวสนามกอล์ฟ พร้อม Presale ครั้งแรก! 22-23 กุมภาพันธ์นี้ ราคาเริ่ม 75 ล้านบาท*
yesterday
ยอดเยี่ยมมากๆค่ะ
ใช้ภาษาที่เข้าใจง่าย รู้เรื่องดีค่ะ
5 ดาวไปเลยครับ
บทความดีๆ อ่านแล้วตัดสินใจง่ายขึ้นเลยค่ะ