Favorite
แม้ว่าช่วงนี้ผู้คนควรอยู่ห่างกันตาม social distancing แต่ตรงกันข้ามกับสีแต่งห้อง เพราะหากจับคู่อยู่ด้วยกันมากกว่าหนึ่งสี จะช่วยส่งเสริมให้ห้องของเราน่าอยู่มากขึ้น แต่ก็ต้องรู้ทริคกันนิดนึง ว่าต้องทำยังไงคู่สีที่นำมาแต่งห้อง ถึงจะอยู่ร่วมกันได้อย่างสันติและสวยงาม
แบ่งโทนสีให้เป็น
เมื่อมีหลายสิบสีหลายร้อยเฉดก็จริง แต่โทนสีหลักๆ มีแค่ 2 โทน โดยแบ่งออกได้ดังนี้
1. โทนเย็น เป็นสีที่มองแล้วให้ความรู้สึกสงบสบายตา ได้แก่ สีเขียว สีม่วง สีน้ำเงิน
2. โทนร้อน จะสัมผัสได้ถึงความมีพลังสนุกสนานและรู้สึกตื่นตา ได้แก่ สีส้ม สีเหลือง สีแดง
สำหรับสีที่เกิดจากการผสมสีตรงข้ามอย่าง สีขาว สีดำ สีเทา และสีน้ำตาล จะเรียกว่าเป็นสีกลาง ในการช่วยเสริมให้สีอื่นดูโดดขึ้นมา
คู่สีตรงข้าม ที่ไปด้วยกันได้ยาก
ตรงตัวเลยคือ สีที่อยู่ตรงข้ามไม่ค่อยจะถูกชะตากันเท่าไหร่ เพราะจะแย่งกันเด่นทำให้ตัวเราเองไม่รู้จะโฟกัสตรงจุดไหน ซึ่งมีทั้งหมด 6 คู่ คือ
1. เหลือง VS ม่วง
2. แดง VS เขียว
3. น้ำเงิน VS ส้ม
4. ส้มเหลือง VS ม่วงน้ำเงิน
5. ส้มแดง VS เขียวน้ำเงิน
6. เขียวเหลือง VS ม่วงแดง
ขอบคุณภาพ : play-crafts
แบ่งเปอร์เซ็นต์ให้กับสี
ถามว่าแล้วถ้าอยากใช้สีตรงข้ามล่ะทำได้ไหม ตอบเลยว่าได้แต่ทั้งคู่ต้องปรับเข้าหากัน ด้วยการให้พื้นที่สีหนึ่งมากกว่า อีกสีหนึ่งน้อยกว่า ทำการแบ่งเปอร์เซ็นต์ว่าแต่ละสีควรมีเท่าไหร่ ตามกฎ 60-30-10 ดังนี้
60% คือสีหลัก สีที่เราอยากให้มีมากกว่าสีอื่นๆ ซึ่งส่วนมากก็จะใช้กับผนังทารอบห้อง หรือไม่ก็เป็นเฟอร์นิเจอร์ชิ้นใหญ่ๆ ซึ่งอยากจะใช้โทนสีไหนก็ขึ้นอยู่กับสไตล์การตกแต่งห้อง
30% คือสีรอง มักจะไปอยู่ที่เฟอร์นิเจอร์ หลายๆ ชิ้น ไม่ว่าจะเป็น โซฟา ตู้เก็บของ โต๊ะ เก้าอี้ ผ้าม่าน หรือพรม ซึ่งสีที่จะอ่อนหรือเข้มขึ้นอยู่กับสีหลักที่เราเลือกไปก่อนหน้า ประมาณว่าถ้าสีหลักเข้ม สีรองควรอ่อนลงมาหน่อย หรือไม่ก็เลือกสีกลางๆ ไปเลย
10% คือสีไฮไลท์ แม้จะน้อยกว่าใครเพื่อนแต่ช่วยให้ห้องดูโดดเด่น เน้นที่ของตกแต่งเล็กๆ น้อยๆ เช่น หมอนอิงโคมไฟ แจกัน เป็นต้น
กฎนี้สามารถใช้กับสีอื่นๆ ที่ไม่ใช่แค่สีตรงข้ามก็ได้เหมือนกัน โดยการแบ่งสีแบบนี้จะช่วยให้ห้องไม่ถูกกลืนไปกับสีใดสีหนึ่ง ขณะเดียวกันในหนึ่งห้องก็ไม่ควรมีมากกว่า 3 สี เพื่อมองแล้วจะได้รู้สึกไม่เวียนหัว
จับคู่สีให้เข้ากับห้อง
ทฤษฎีมาพอสมควรไปลองดูกันว่าเวลาลงมือจริงแล้วห้องออกมาจะสวยแค่ไหน ปักธงในใจว่าอยากให้สีหลักเป็นสีอะไรก่อน อย่างในภาพนี้คือ สีเขียวบนผนัง ที่ทำเป็นลวดลายของใบไม้ ซึ่งถ้าทาเต็มผนังก็อาจจะลายตาเกินไป จึงเบรกด้วยสีรองซึ่งเลือกใช้สีกลางอย่าง สีเทา ทาผนังล่างนิดนึง เข้ากันกับโซฟาที่เป็นสีเทาแต่เฉดสีเข้มขึ้นมาหน่อย และสีน้ำตาลของโต๊ะกลาง
ตบท้ายด้วยสีไฮไลท์ อย่างสีเหลืองของหมอนอิง และของตกแต่งอีกหนึ่งอย่าง ส่วนตัวมองว่าห้องนี้สีหลัก 50% สีรอง 40% สีไฮไลท์ 10% นั่นแสดงให้เห็นว่าไม่จำเป็นต้องเคร่งตามกฎเป๊ะ แต่ก็ยังแบ่งเปอร์เซ็นต์ได้ดีทีเดียว ที่มองแล้วก็ดูดีไปด้วยกันได้อย่างลงตัว
ขอยกตัวอย่างอีกห้องหนึ่งละกันเนอะ อันนี้เป็นห้องที่ใช้โทนสีใกล้เคียงกันอยู่ในโทนสีกลาง เน้นสีน้ำตาลเข้มและสีดำ เป็นสีหลัก 60% ในอัตราส่วนที่พอๆ กันไปที่ผนังห้อง สำหรับสีรอง 30% คือสีเทาอยู่ที่โซฟาตัวใหญ่และผ้าม่าน และเพื่อไม่ให้ห้องดูมืดจนเกินไป สีไฮไลท์อีก 10% จึงเป็นสีขาว ตรงชั้นวางทีวีและท็อปโต๊ะกลางที่อยู่ในระนาบเดียวกัน เหมาะกับผู้ชายหรือคนที่ชอบความเรียบง่าย
การแต่งห้องไม่ได้มีกฎตายตัวอะไรที่บอกว่าอันไหนถูกหรือผิด เพียงแต่วิธีการจับคู่สีเหล่านี้จะช่วยเป็นแนวทาง เป็นไอเดียให้ทุกคนได้ แต่งห้องออกมาดูมีมิติน่ามองมากกว่าเดิม
ไอเดียจัดไฟหน้าบ้านสวย ๆ โดดเด่น มีสไตล์ ไม่ซ้ำใคร
2020-03-26
ไอเดียแต่งบ้านด้วยเฟอร์นิเจอร์หวาย สวยร่วมสมัย สไตล์วินเทจ
2020-03-27
8 ไอเทม ของแต่งบ้านแนวทะเล
2020-04-14
BOTANICA KHAO YAI ใช้ชีวิตโมเดิร์นท่ามกลางธรรมชาติ
2016-07-12
เทรนด์สีมาแรงปีนี้ แค่เลือกสีถูก ชีวิตก็ปังปุริเย่
2022-01-18
บทความดีๆ ก็ที่นี่หล่ะนะ
เนื้อหาตอบโจทย์ผู้สนใจได้ดีค่ะ
อ่านสนุกดีค่ะ ถึงแม้ส่วนตัวจะไม่ชอบอ่าน แต่บทความที่นี่อ่านได้เรื่อยๆเลยค่ะ
Good Job !!!
เยี่ยมไปเลยครับ
ได้ประโยชน์มากๆ อ่านสนุกดี