News
icon share

เปิดพื้นที่ 6 แสนไร่รับ EEC จุดพลุ "ระยอง" เมืองใหม่ไฮสปีด

LivingInsider Report 2016-09-02 11:00:36
เปิดพื้นที่ 6 แสนไร่รับ EEC จุดพลุ

 

 

วันที่ 31 ส.ค.นี้เป็นครั้งแรกที่"พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา" นายกรัฐมนตรี ตรวจการบ้านพิมพ์เขียวพัฒนาพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) พ่วงแผนพัฒนาเชิงพาณิชย์รอบสถานีไฮสปีดเทรน



หลังสั่งการให้ "สมคิด จาตุศรีพิทักษ์" รองนายกฯ เร่งงานทำรายงานฉบับสมบูรณ์เสนอ "บิ๊กตู่" พิจารณา



แผนงาน EEC มีคมนาคม กองทัพเรือ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมจัดทำให้ไทยเป็นฮับอุตสาหกรรมแห่งอนาคตของ "เออีซี-ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน"



แนวคิดพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก จะสร้างพื้นที่รองรับอุตสาหกรรมโดยใช้ศักยภาพพื้นที่ชายฝั่งทะเลตะวันออกเป็นพื้นที่หลักพัฒนาอุตสาหกรรมเป้าหมาย



โดยให้"ฉะเชิงเทรา"เป็นเมืองน่าอยู่รองรับการขยายของกรุงเทพฯฝั่งตะวันออก 



"ชลบุรี" เป็นศูนย์กลางการศึกษาและพัฒนาทักษะนานาชาติ "ศรีราชา-แหลมฉบัง" เป็นเมืองอุตฯ การผลิตสมัยใหม่เชื่อมสู่การผลิตภูมิภาคลุ่มน้ำโขงและอาเซียน
 


ส่วน "พัทยา-สัตหีบ-อู่ตะเภา" เป็นเมืองท่องเที่ยวเชิงธุรกิจครอบครัว สุขภาพและสันทนาการระดับโลก รวมถึงศูนย์ธุรกิจการบินและโลจิสติกส์แห่งอาเซียน และยกระดับ "มาบตาพุด-ระยอง" เป็นเมืองน่าอยู่ที่สุดในอาเซียน และอุตฯ พลังงานเคมี ชีวภาพ วิจัยอาหารและไบโออีโคโนมี



ตั้งเป้าภายใน 5 ปีนี้จะมีการลงทุนในกลุ่มอุตฯ เป้าหมายจากนักลงทุนทั้งภายในและต่างประเทศไม่น้อยกว่า 1.5 ล้านล้านบาท โดยใช้มาตรฐานด้านสิทธิประโยชน์และระบบบริการครบวงจรเป็นแม่เหล็กดูดลงทุน เช่น ที่ดินในเขตเศรษฐกิจพิเศษเช่าหรือให้เช่าได้มีกำหนดเวลา 50 ปี+49 ปี



แหล่งข่าวจากกระทรวงคมนาคมกล่าวว่า การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) เตรียมพื้นที่ที่มีศักยภาพพัฒนาระยะเริ่มต้นใน 3 จังหวัดไว้ 631,163 ไร่ มี จ.ระยอง 356,753 ไร่ ให้เป็นเมืองใหม่



จัดสรรให้ด้านการบินอยู่โดยรอบสนามบินอู่ตะเภา มีความต้องการพื้นที่ปีที่ 1-5 จำนวน 20,000 ไร่ ปีที่ 6-10 จำนวน 10,000 ไร่ ด้านโลจิสติกส์ย่านแหลมฉบังและมาบตาพุด ต้องการพื้นที่ปีที่ 1-5 จำนวน 20,000ไร่ ปีที่ 6-10 จำนวน 10,000 ไร่



จ.ฉะเชิงเทรา และชลบุรี รองรับกลุ่มอุตฯ ยานยนต์สมัยใหม่ ต้องการพื้นที่ปีที่ 1-5 จำนวน 4,259 ไร่ ปีที่ 6-10 รวม 20,000 ไร่ กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ ปีที่ 1-5 จำนวน 1,500 ไร่ ปีที่ 6-10 อีก 15,000 ไร่ และกลุ่มหุ่นยนต์ ปีที่ 1-5 จำนวน 1,500 ไร่ ปีที่ 6-10 อีก 5,000 ไร่



ส่วนกลุ่มปิโตรเคมีที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมอยู่ย่านมาบตาพุด ใช้พื้นที่ปีที่ 1-5 รวม 18,000 ไร่ ปีที่ 6-10 อีก 15,000 ไร่ กลุ่มอุตฯ แปรรูปอาหาร เกษตร เทคโนโลยีชีวมวล ปีที่ 1-5 รวม 1,500 ไร่ ปีที่ 6-10 อีก 15,000 ไร่ เชื้อเพลิงชีวภาพ ปีที่ 1-5 รวม 20,000 ไร่ ปีที่ 6-10 อีก 10,000 ไร่



การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานคมนาคมขนาดใหญ่จะครบทุกโหมดรวม 62 โครงการ 309,755 ล้านบาท เริ่มปี 2560 เป็นต้นไป



โดยทางอากาศพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาให้เป็นสนามบินเชิงพาณิชย์เต็มรูปแบบแห่งที่ 3 พร้อมศูนย์ซ่อมอากาศยานที่ บมจ.การบินไทย จะเป็นผู้ลงทุน



ทางเรือมีท่าเรือพาณิชย์สัตหีบจะพัฒนาเป็นท่าเรือเฟอร์รี่ ท่าเรือแหลมฉบังเฟส 3 ท่าเรือคลองใหญ่ จ.ตราด ท่าเรือมาบตาพุด ถนนมีมอเตอร์เวย์ สายกรุงเทพฯ-ชลบุรี-พัทยา-มาบตาพุด, แหลมฉบัง-นครราชสีมา ปรับปรุงถนนบริเวณอู่ตะเภาและมาบตาพุด ถนนเลียบชายฝั่งทะเลในพื้นที่ จ.ระยอง และชลบุรี 



ส่วนทางรางมีรถไฟทางคู่ช่วงฉะเชิงเทรา-คลองสิบเก้า-แก่งคอย รถไฟความเร็วสูงกรุงเทพฯ-พัทยา-ระยอง ปรับปรุงทางรถไฟเชื่อมท่าเรือจุกเสม็ด ก่อสร้างสถานีรถไฟที่อู่ตะเภา และพัฒนาระบบรางเพื่อรองรับนิคมอุตสาหกรรมภาคตะวันออกทั้งหมด



เทศบาลเมืองพัทยามีแผนจะลงทุนรถไฟรางเบา(แทรม)ภายในเทศบาล พัฒนาผ่านถนนเลียบชายหาดและสาย 2 ระยะทาง 8 กม. ค่าก่อสร้าง 8,000 ล้านบาทและลงทุนอีก 83 โครงการ 92,336 ล้านบาท พัฒนาเมือง พลังงาน สาธารณูปโภค สาธารณูปการ ด้านสิ่งแวดล้อมเมือง สาธารณสุข และท่องเที่ยว



ส่วนการพัฒนาเชิงพาณิชย์รอบสถานีรถไฟความเร็วสูง จะเสนอเป็นภาพรวมทั้ง 4 เส้นทาง 18 สถานี แยกเป็นกรุงเทพฯ-นครราชสีมา 253 กม. 3 สถานี สระบุรี ปากช่อง และนครราชสีมา รวม 1,239.59 ไร่



กรุงเทพฯ-พิษณุโลก 384 กม. 5 สถานี ที่อยุธยา ลพบุรี นครสวรรค์ พิจิตร และพิษณุโลก 21,702.35 ไร่ กรุงเทพฯ-หัวหิน 225 กม. 4 สถานี ที่นครปฐม ราชบุรี เพชรบุรี หัวหิน 159.96 ไร่ และกรุงเทพฯ-ระยอง 194 กม. 6 สถานี มีลาดกระบัง ฉะเชิงเทรา ชลบุรี ศรีราชา พัทยา และระยอง 162 ไร่ นอกจากนี้มีสถานีบางซื่อแปลง A-D และย่าน กม.11 จำนวน 543 ไร่



แบ่งเป็น 2 รูปแบบ พื้นที่ภายในอาคารสถานีให้เอกชนเช่า 5 ปี ส่วนที่ดินย่านสถานีให้เอกชนเช่าพัฒนาเชิงพาณิชย์ระยะยาว 30 ปี รูปแบบ PPP และวิธีจัดรูปที่ดิน นำร่องสายกรุงเทพฯ-ระยองรับ EEC



ทั้ง 4 เส้นทาง คาดว่าจะมีรายได้ 30 ปี 189,000 ล้านบาท เพื่อคืนทุนให้กับโครงการ นอกเหนือจากค่าโดยสาร

 

 

ขอบคุณภาพและข่าวจาก ประชาชาติธุรกิจ

 

 

http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1472637306

 

>> ช่องทางในการติดตามข่าวสาร <<
ไม่พลาดข่าวสำคัญ แค่กดเป็นเพื่อนกับ ไลน์ @livinginsider ที่นี่

Article Other

livinginsider livinginsider