Favorite
สังเกตกันไหม...เดี๋ยวนี้ เรารู้สึก Burn Out เบื่อกับเรื่องงานและเรื่องรอบๆ ตัว แต่เมื่อไหร่ที่เราเห็นอะไรที่เป็นธรรมชาติเขียวๆ ฟีดขึ้นมาบนมือถือของเรา เราจะต้องกดเซฟสถานที่เหล่านั้นไว้ และตั้งเป้าหมายว่าวันนึงเราจะต้องได้ไป
แปลกดีที่เราพยายามตามหาความสำเร็จและความสุขด้วยวัตถุเพื่อเติมเต็มความรู้สึก แต่สุดท้ายสิ่งที่ทำให้เรารู้สึกสงบและผ่อนคลายที่สุดกลับกลายเป็นเรื่องง่ายๆ แค่ได้สัมผัสกลิ่นอายของธรรมชาติ
หลายๆ คนที่คิดจะหาซื้อที่พักอาศัยในสมัยนี้คงเคยเป็น เราไม่ได้มองหาแค่ห้องพักและส่วนกลางที่ตอบโจทย์เราแล้ว ในเมื่อเราทำงานที่ไหนก็ได้ ดังนั้น
เราจะมองหาสถานที่ที่ให้พื้นที่ธรรมชาติ และความเป็นส่วนตัวกับเรามากขึ้นเรื่อยๆ แต่ไม่ว่าจะมองหาอย่างไร ก็แทบไม่มีที่ไหน ให้ธรรมชาติได้อย่างแท้จริง จนกระทั่งเรามาเจอที่นี่...
นี่ไม่ใช่ที่เขาใหญ่ แต่ที่นี่คือ กรุงเทพฯ และไม่น่าเชื่อว่า จะมีใครกล้าทำโครงการที่อลังการงานสร้างได้ขนาดนี้ ที่สำคัญยังมีคอนโด Pet-friendly ที่ออกแบบมาเพื่อสัตว์เลี้ยงโดยเฉพาะ เราก็เลยพาน้องมาชมไปพร้อมๆ กัน ถ้าอยากรู้แล้วว่าที่นี่จะพิเศษขนาดไหน ตามไปอ่านต่อกันได้เลย!!
Whizdom Petopia หนึ่งในโครงการ Whizdom The Forestias ที่สุดแห่งศตวรรษของการอยู่อาศัย คอนโดท่ามกลางป่าใหญ่ใจกลางเมือง มาสัมผัสความรู้สึก Feel the Wild กลับสู่ชีวิต ใกล้ชิดธรรมชาติ
แถมยังเลี้ยงน้อนนน ได้แบบเปิดเผยด้วยนะ 🐶 🐶
โดยโครงการนี้จะอยู่ภายใต้ The Forestias (เดอะ ฟอเรสเทียส์) จาก MQDC โครงการเมืองระดับ World Class ซึ่งตั้งอยู่บนถนนบางนา-ตราด กม. 7 จุดสังเกตง่ายๆ เลยคืออยู่ใกล้กับ Mega Bangna และอย่างที่รู้กันว่าบางนา เป็นอีกหนึ่งทำเลที่ขึ้นชื่อเรื่องความอุดมสมบูรณ์ไม่แพ้ย่านอื่นๆ
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการเดินทางที่สะดวกทั้งใช้รถยนต์ส่วนตัว ซึ่งเชื่อมต่อเข้าเมืองโดยใช้เส้นสุขุมวิท และออกนอกเมืองไปต่างจังหวัดหรือสนามบินสุวรรณภูมิ โดยมีทั้งทางด่วนฉลองรัช ทางด่วนบูรพาวิถี และทางด่วนกาญจนาภิเษก ช่วยให้การเดินทางง่ายและรวดเร็วมากยิ่งขึ้น
ขณะเดียวกันขนส่งสาธารณะก็มีรองรับเช่นเดียวกัน อย่าง BTS สายสีเขียว สถานีอุดมสุข รวมไปถึงรถเมล์ รถตู้ แท็กซี่ และในอนาคตจะมีรถไฟฟ้าสายสีเหลือง (ลาดพร้าว-สำโรง) เข้ามาเสริมทัพอีกด้วย
แต่ถ้าถามหาสถานที่ท่องเที่ยวบอกเลยว่าเพียบทั้ง Mega Bangna & IKEA, Central Bangna, Market Village, Seacon Square, Paradise Park, Central Village, King Power Srivaree, Siam Premium Outlets คือมีครบทุกไลฟ์สไตล์
ต่อเนื่องไปจนถึง สถานศึกษา เช่น Berkeley International School, Bangkok Pattana School, Wells International School, International Community School, Thai-Singapore International School เป็นต้น ส่วนสถานพยาบาล ก็มีรองรับไว้พร้อม รพ.ไทยนครินทร์ รพ.ศรีนครินทร์ รพ.สมิติเวช ศรีนครินทร์ และรพ.สิรินธร
ขอบคุณภาพ : dsignsomething
แต่ความจริงแล้วไม่ต้องออกไปไหนก็ยังได้ เพราะที่นี่ได้รวบรวมสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ เอาไว้ ณ ที่แห่งนี้เรียบร้อย ไม่ว่าจะเป็น Community Mall โรงหนัง Supermarket พื้นที่สำนักงาน Community Center และ Town Center ที่มีร้านค้า ร้านอาหาร คาเฟ่ สปอร์ตคอมเพล็กซ์ ตลาด หรือแม้แต่พื้นที่จัดกิจกรรมไลฟ์สไตล์ต่างๆ อีกทั้งในอนาคตจะมีศูนย์การแพทย์ และสุขภาพขนาดใหญ่อีกด้วย รวมถึงจะมีรถไฟรางเบาตัดผ่านด้านหน้าโครงการอีกต่างหาก
ทั้งนี้ทั้งนั้นความพีคขั้นสุดของโครงการ The Forestias (เดอะ ฟอเรสเทียส์) ซึ่งมีพื้นที่รวมกว่า 398 ไร่ อยู่ตรงที่การให้พื้นที่สีเขียว 56% และพื้นที่ป่ากว่า 30 ไร่
แต่ที่เราจะพาไปดูในวันนี้ คือโครงการ Whizdom The Forestias (วิสซ์ดอม เดอะฟอเรสเทียส์) นิยามใหม่ของคำว่าบ้านแบบ Vertical Living ผสานพื้นที่ธรรมชาติเข้ากับไลฟ์สไตล์ของชีวิตคนเมือง ดีไซน์พื้นที่ส่วนตัวและพื้นที่ส่วนรวม ให้ตอบรับกับการใช้ชีวิตของทุกชีวิต ภายใต้คอนเซ็ปต์ “Feel the Wild” ชวนทุกคนกลับสู่ชีวิตชิดธรรมชาติ
ห้องตัวอย่างจะอยู่ที่ Forest Pavilion ก่อนเห็นของจริงที่จะสร้างเสร็จในปี 2024 ซึ่งพื้นที่บริเวณตรงนี้ Forest Pavilion เมื่อโครงการสร้างเสร็จเรียบร้อย จะถูกเปลี่ยนเป็น ศูนย์การเรียนรู้แบบ Immersive Experience ที่เสนอองค์ความรู้เรื่องระบบนิเวศแบบยั่งยืน และเปิดกว้างให้ผู้ที่สนใจ เข้ามาศึกษาและค้นคว้าข้อมูลเรื่องธรรมชาติได้
โครงการ Whizdom The Forestias (วิสซ์ดอม เดอะฟอเรสเทียส์) เป็นคอนโด High rise จำนวน 3 อาคาร บนพื้นที่ 8-0-86.1 ไร่ โดยขอเริ่มอาคารแรกที่ถือว่าเป็นไฮไลท์ของโครงการเลย ซึ่งใครเป็นสาย Pet Lovers ห้ามพลาด เพราะเป็นอาคารที่อนุญาตให้เลี้ยงสัตว์ได้ 🐶 ที่ออกแบบเพื่อสัตว์เลี้ยงแสนรักโดยเฉพาะ ที่เห็นแล้วรับรองว่าจะต้องอินและฟินไปด้วยกันแน่นอน
► Petopia Tower สูง 43 ชั้น มีจำนวน 294 ยูนิต แต่ละชั้นจะมียูนิตสูงสุดแค่ประมาณ 9 ห้อง เท่ากับว่าลูกบ้านแต่ละคนจะได้ความเป็นส่วนตัวที่มากขึ้น และจอดรถได้ 100% ทั้งแบบ Automated Parking และ Conventional Parking
ก่อนจะไปยังส่วนกลาง ขออธิบายเกี่ยวกับสัตว์เลี้ยงแสนรักของเราซะเล็กน้อย โดยทางโครงการกำหนดขนาดสัตว์เลี้ยงไม่เกิน 25 กิโลกรัม ถือว่าให้น้ำหนักมาค่อนข้างเยอะ ซึ่งจะเป็นการเปิดโอกาสให้ลูกบ้าน ได้เลี้ยงสัตว์ที่หลากหลายสายพันธุ์มากขึ้น นอกจากนี้ทั้งเจ้าของและน้องจะต้องทำการเทรนด์นิ่ง เพื่อให้อยู่ร่วมกันในคอนโดได้อย่างมีความสุข
สำหรับ Facilities มาเริ่มกันที่ Ground Floor ตั้งแต่หน้าประตูทางเข้าที่มีการออกแบบ Double gate บริเวณ Main lobby เป็นประตู 2 ชั้น เพื่อป้องกันไม่ให้สัตว์เลี้ยงหลุดออกมาข้างนอก พอเข้าสู่ด้านในจะเจอกับ Forest Lobby โดยเน้นการตกแต่งที่สอดคล้องกับธรรมชาติอย่างการใช้หินและไม้
เพื่อไว้รับรองแขกที่มาเยี่ยม หรือตัวลูกบ้านจะมานั่งเล่นกับสัตว์เลี้ยงของตัวเองก็ทำได้เหมือนกัน เพราะทางโครงการได้เลือกวัสดุพื้นอย่างดีเพื่อให้น้องหมานอนได้อย่างสบายใจ หรือแม้แต่เฟอร์นิเจอร์อย่างโคมไฟตั้งพื้น ก็ได้มีการพันเชือกเอาไว้ให้น้องแมวลับเล็บได้ เป็นต้น
นอกจากนี้ยังมี Breakfast Lounge สำหรับนั่งทานอาหารเช้า ซึ่งตรงนี้ยังได้ทำการติดตั้งตู้ขายของอัตโนมัติเอาไว้ เพื่ออำนวยความสะดวกให้ผู้อยู่อาศัย ต่อด้วย Pet Day Care บริการรับฝากสัตว์เลี้ยงระหว่างวันหรือในช่วงวันหยุด ซึ่งจะมี Operator เข้ามาดูแลโดยจะมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม แต่ส่วนตัวชอบอันนี้ทำให้เราไม่ต้องนำไปฝากร้านข้างนอกให้ยุ่งยาก ถัดไปคือ Vending Machine ตู้หยอดเหรียญที่ได้จัดเตรียมอาหาร ทั้งในส่วนของคนและสัตว์เลี้ยงเอาไว้ด้วย
ส่วน Outdoor จะถูกโอบด้วยต้นไม้เขียวขจีรายล้อมด้วยสนามหญ้า ซึ่งออกแบบให้มี Jogging Track ความยาว 150 เมตร ทำให้เจ้าของและสัตว์เลี้ยงสามารถออกกำลังกายไปพร้อมๆ กัน และยังมี Pet Playground พื้นที่ให้สัตว์เลี้ยงออกกำลังกาย หรือวิ่งเล่นกับเพื่อนๆ ตัวอื่นได้อย่างสนุกสนาน พร้อมเตรียมที่ดื่มน้ำสำหรับสัตว์และที่ขับถ่าย ซึ่งตั้งอยู่ทุกๆ 50 เมตร เพื่อความปลอดภัยและสุขลักษณะที่ดี
ขึ้นลิฟต์ไปที่ชั้น 2 อ่อ! ลืมบอกไปว่าเราสามารถพาสัตว์เลี้ยงขึ้นลิฟต์ไปกับเราได้เลย ไม่ต้องไปที่ลิฟต์ขนของ ชอบไอเดียนี้สุดๆ และห้องนี้ใครทาสแมวจะต้องชอบแน่นอน Co-Living Room ตกแต่งด้วยโทนสีฟ้าสดใส เป็นห้องสำหรับน้องแมวโดยเฉพาะเลย เนื่องจากศูนย์กลางของห้องมีบ้านแมว ให้เค้าวิ่งเล่นปีนป่ายได้เต็มที่ ระหว่างนั้นเราก็นั่งเล่นไปด้วยได้ โดยจัดที่นั่งไว้ให้ประมาณหนึ่งเลย อยู่ทั้งวันก็ไม่รู้สึกเบื่อฟินกันทั้งสองฝ่าย
Meeting Room ห้องกระจกขนาดใหญ่ที่อยู่ได้ถึง 20 คน เน้นเฟอร์นิเจอร์ไม้รวมถึงคุมโทนให้ออกมาเป็นสีคาราเมล สามารถนั่งทำงานนั่งอ่านหนังสือไปพร้อมกับการชมวิวทิวทัศน์ภายนอกได้แบบเต็มสายตา และยังนำสัตว์เลี้ยงเข้ามาในห้องประชุมนี้ได้อีกด้วย เช่นเดียวกับห้อง Forest Lounge ที่นอกจากมองเห็นธรรมชาติแล้ว ยังเป็นพื้นที่ semi-outdoor สำหรับมินิบาร์บีคิวปาร์ตี้ ที่พาน้องๆ เข้าไปอยู่ร่วมกับเราได้เหมือนกัน
ไปต่อที่ชั้น 8 มาถึงห้องของทาสหมากันบ้าง Relaxation Room ปูพื้นด้วยไม้ลายก้างปลา และใช้เป็นขอบเหล็กสเตนเลส ตัวเฟอร์นิเจอร์เองก็เลือกให้เหมาะสมกับน้องหมาโดยเฉพาะ ทั้งนี้ก็เพื่อความปลอดภัยของพวกเค้า เชื่อมต่อกับพื้นที่ข้างนอกมีสนามหญ้าขนาดใหญ่ พร้อมเครื่องเล่นสำหรับสุนัข
นอกจากนี้ยังมี Pet Playground อีกจุดหนึ่ง เหมือนเป็นสนามเด็กเล่นสำหรับสัตว์เลี้ยง พร้อมระเบียงกันตก 1.2 เมตร เพื่อให้ทั้งเจ้าของและสัตว์เลี้ยงได้สนุกไปกับกิจกรรมกลางแจ้งอีกรูปแบบหนึ่ง และที่ชั้นนี้ยังมีที่ดื่มน้ำสำหรับสัตว์และที่ขับถ่ายไว้ให้เช่นเดียวกับชั้นล่าง
เห็นมุมของเจ้านายมาเยอะแล้ว มาถึงส่วนที่เป็นของทาสอย่างเรากันบ้าง ได้แก่ Swimming pool สระว่ายน้ำยาว 29 เมตร สามารถว่ายออกกำลังกายได้จริง หรืออยากนั่งแช่น้ำสบายๆ ก็มี Jacuzzi รวมถึง Kids Pool สระว่ายน้ำสำหรับเด็ก ซึ่งเห็นวิวผืนป่าสีเขียวเพิ่มความรู้สึกสดชื่น
Fitness ผนังห้องถูกเปลี่ยนเป็นกระจกรอบทิศทาง ทำให้มองทิวทัศน์ของธรรมชาติแบบสบายตา พร้อมอุปกรณ์ออกกำลังกายครบครัน เพื่อเสริมสร้างสุขภาพที่แข็งแรง
และชั้นนี้ยังมี Changing Rooms & Lockers Laundry Room ซึ่งจัดเตรียมเครื่องซักผ้าของสัตว์เลี้ยง 1 เครื่องแยกไว้ให้เรียบร้อย สุดท้ายที่ชั้น 43 Rooftop Sky Garden with Vegetable & Herb Corner สวนลอยฟ้าที่มีการปลูกพืชผักสวนครัว ไว้ให้ลูกบ้านได้ทดลองปลูก มีจุดให้ดูนกผ่านกล้องส่องทางไกล นั่งเล่นพักผ่อนรับอากาศบริสุทธิ์ได้แบบชุ่มปอด
เพลิดเพลินกับส่วนกลางเสร็จแล้ว กลับมาพักผ่อนที่ห้องกันต่อดีกว่า ซึ่งความพิเศษของห้องพักอาศัยคือผนังระหว่างห้องพักเป็น Double wall ด้วยการทำผนังหนา 10 เซนติเมตร และมี Air Gap ช่องว่างระหว่างห้องอีก 5 เซนติเมตร และก็จะเป็นผนังหนา 10 เซนติเมตรอีกทีหนึ่ง เพื่อให้เก็บเสียงได้ดียิ่งขึ้น จะได้ความไพรเวทและไม่เป็นการรบกวนเพื่อนบ้านห้องอื่นๆ
โดยขายแบบ Fully Fitted ส่วน Floor to Ceiling สูง 2.8 เมตร โดยมีห้องให้เลือกทั้งหมด 6 แบบคือ
1 Bedroom ขนาด 34–44 ตารางเมตร |
2-Bedroom ขนาด 58–79 ตารางเมตร |
3-Bedroom ขนาด 97–99 ตารางเมตร |
Duplex ขนาด 60–164 ตารางเมตร |
Penthouse ขนาด 154–206 ตารางเมตร |
Forest Duplex Penthouse ขนาด 73–128 ตารางเมตร |
ทางโครงการมีห้องตัวอย่างให้ชม 1 ห้อง คือ ► 1 Bedroom ขนาด 43 ตารางเมตร ตั้งแต่นี้แนะนำว่าต้องตั้งใจอ่านเลย งานดีเทลงานละเอียดมีแทบจะทุกบรรทัดเลยจริงๆ เริ่มตั้งแต่หน้าประตู จะได้ Digital Door Lock พอเข้ามาแล้วซ้ายมือ จะเจอกับตู้ที่ไว้วางเครื่องซักผ้า โดยออกแบบท่อน้ำทิ้ง เพื่อให้ใช้งานกับระบบท่อออกหลังอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งบริเวณทางเข้านี้ไฟจะเปิด-ปิดอัตโนมัติ
ขวามือจะเจอกับ ห้องครัวแบบปิด กั้นด้วยประตูกระจกใส ขนาดกว้างขวาง ผนังฝั่งหนึ่งกรุด้วยกระจกช่วยดึงแสงให้เข้าห้องครัวเพื่อความโปร่ง โดยได้เคาน์เตอร์ครัวเป็นรูปตัวแอล ทำจากวัสดุ Food Grade ตัวท็อปเป็นหินควอทซ์ มีความทนทานแข็งแรง ด้านหลังเคาน์เตอร์ (backsplash) กรุกระจกช่วยให้เช็ดคราบสกปรกออกได้ง่าย รวมถึงได้เตาไฟฟ้า 2 หัว และเครื่องดูดควัน จากแบรนด์ Franke พร้อมช่องเก็บของด้านบนที่บิวท์มาให้สุดเพดาน
ออกมาจากห้องครัวจะเจอกับ ห้องน้ำขนาดใหญ่ ซึ่งเข้าออกได้สองทางคือฝั่งทางเดินและในห้องนอน พร้อมติดฉากกั้นอาบน้ำมาให้เรียบร้อย โดยมีจุดเด่นตรงออกแบบที่นั่งอาบน้ำสัตว์เลี้ยงไว้ให้ เท่านั้นไม่พอยังให้ฝักบัวสำหรับน้อง ที่สามารถเปิดปิดน้ำได้ด้วยมือเดียวแยกต่างหากอีกด้วย
ยังไม่หมดเท่านี้เพราะทางโครงการเลือกใช้ Floor drain 3 ชั้นในการกรองขนสัตว์ป้องกันไม่ให้ท่อตัน โดยระบบระบายน้ำจะไม่มีการฝังท่อน้ำทิ้งทะลุพื้น เพื่อการระบายน้ำที่ดี และซ่อมแซมได้แบบไม่ต้องรบกวนห้องข้างล่าง และยังมี Hook ให้ 2 ตำแหน่งในห้องน้ำ คือตอนอาบน้ำและตอนไดร์ขน ถือว่าใส่ใจทุกจุดจริงๆ
แต่ก่อนจะไปโซนอื่นๆ ภายในห้อง ติดกันกับห้องน้ำจะเป็นตู้เก็บรองเท้า และยังเป็นตู้เก็บของส่วนตัวของสัตว์เลี้ยง อีกทั้งยังมีการดีไซน์ Hook เพื่อใช้สำหรับคล้องสายจูง บอกแล้วว่าเรื่องเล็กๆ โครงการก็ไม่ได้มองข้าม
เชื่อมต่อเข้าสู่ ห้องนั่งเล่น ตัวพื้นจะเป็นกระเบื้องยางลายไม้ SPC แบบ Click Lock และใช้วัสดุที่มีค่ากันลื่น R10 ป้องกันการลื่นทั้งเจ้านายและทาสได้เป็นอย่างดี โดยฝั่งหนึ่งไว้สำหรับวางทีวี จะบิวท์อินเป็นชั้นลอย ตามห้องตัวอย่างก็จะช่วยให้ห้องดูกว้างขวางกว่าเดิม หรือจะเลือกแบบไหนก็สามารถออกไอเดียได้อย่างเต็มที่
ฝั่งตรงข้ามวางโซฟาได้ขนาด 2 ที่นั่ง และโต๊ะกลาง 1 ตัว ติดกันเป็นส่วนของโต๊ะนั่งรับประทานอาหารขนาด 2 ที่นั่งเช่นเดียวกัน ซึ่งก็ยังมีสเปซเหลือให้เดินได้แบบสะดวกสบาย โดยบริเวณนี้ตำแหน่งปลั๊กไฟจะอยู่สูงกว่าปกติ ประมาณ 1 เมตร เพื่อป้องกันน้องหมาน้องแมว เวลาเล่นซนจะได้ไม่เกิดอันตราย
แต่ทีเด็ดที่แบบอยากนำเสนอมากที่สุดของห้องนี้คือ!!... มีการติดตั้ง Wicket door และ Pet cage บริเวณราวระเบียงด้านนอก เพื่อให้น้องหมาน้องแมวโดยเฉพาะเลย ทำให้เค้าอยากจะเข้าออกตอนไหน ก็ไม่ต้องกังวลว่าจะพลัดตกระเบียง รับประกันเลยว่าเด็กๆ ต้องชอบ คงออกไปนั่งมองนกทั้งวันชัวร์
ขณะที่ ห้องนอน จะได้เป็นประตูทึบ เพื่อความเป็นส่วนตัวเวลามีเพื่อนหรือครอบครัวมาหา โดยจะเจอกับมุมแต่งตัว ซึ่งทางโครงการบิวท์อินตู้เสื้อผ้ามาให้เรียบร้อย และทางซ้ายมือจะเป็นประตูทางเข้าห้องน้ำ
ด้านในสุดของห้องเป็นมุมพักผ่อนวางเตียงได้ 5 ฟุต ยังมีพื้นที่ว่างพอให้วางโต๊ะหัวเตียงได้อีกฝั่งละหนึ่งตัว ขณะที่ผนังฝั่งริมสุดของห้องถูกเปลี่ยนเป็นช่องแสงขนาดใหญ่ สามารถเปิดหน้าต่างได้ 2 บาน ช่วยให้อากาศถ่ายเทได้สะดวก และตัวกระจกเป็น IGU ที่ช่วยป้องกันเสียงและป้องกันความร้อนเข้าห้องพัก
ความพิเศษยังไม่จบลงเพียงเท่านี้ นั่นก็เพราะว่าที่นี่มีน้องไข่ต้ม! หุ่นยนต์เพื่อนผู้ช่วยส่วนตัว หรือก็คือ Home Intelligent System นวัตกรรมอัจฉริยะ สามารถสั่งงานด้วยเสียง หรือผ่านแอปพลิเคชันบนสมาร์ทโฟน ที่ช่วยควบคุมระบบเปิด-ปิดไฟฟ้าภายในห้อง และเครื่องปรับอากาศ อีกทั้งภายในแอปยังมีการแจ้งเตือนเปิด-ปิดประประตูห้องและระเบียงอีกด้วย
นอกจากนี้ยังมีการติดตั้ง ระบบปรับอากาศน้ำเย็นแบบรวมศูนย์ ช่วยประหยัดพลังงาน พร้อมระบบ ERV ที่ห้องนั่งเล่น และ Fresh air fan ที่ห้องนอน เพื่อช่วยกรองฝุ่นควันและเป็นการเติมอากาศเข้าห้องพัก ซึ่งทำให้เกิดการหมุนเวียนอากาศที่ดี รวมถึงเพิ่มปริมาณออกซิเจนให้เหมาะสมกับผู้อยู่อาศัย มาพร้อมเครื่องวัดคุณภาพอากาศ ที่จะคอยเช็กว่าสภาพอากาศภายในห้องนั้นดีแค่ไหน
อีกทั้งเมื่อ เกิดเหตุไฟฟ้าดับ ลูกบ้านจะยังสามารถเปิดแอร์ในห้องพักได้ถึง 8 ชั่วโมง ใช้ลิฟต์ Service ได้ 1 ตัว สามารถใช้ระบบ Auto park และเข้าไปใช้พื้นที่ห้อง Waiting Lounge ซึ่งมี Vending Machine และ Microwave ไว้บริการลูกบ้าน
ขณะที่อีก 2 อาคาร แบ่งออกเป็นอาคาร Destinia สูง 50 ชั้น มีจำนวน 465 ยูนิต และอาคาร Mytopia Tower สูง 42 ชั้น มีจำนวน 360 ยูนิต รวมทั้งหมด 825 ยูนิต ซึ่งทั้งสองอาคารนี้สามารถเดินเชื่อมต่อถึงกันได้ โดยจอดรถได้ถึง 102% มีทั้งแบบ Automated Parking และ Conventional Parking
ตอบโจทย์ผู้อยู่อาศัยได้ทุกกลุ่ม อยากจะอยู่คนเดียวชิลๆ หรือแบบคู่รักสวีท แม้แต่ครอบครัวที่มีลูกเล็กก็เหมาะอย่างมาก เนื่องจากมีการจัดสรร Facilities ที่หลากหลาย เช่น Forest Lobby, Breakfast Lounge, Back Garden & Tree House, Infinity-Edged Pool, Kids Club, Playground, BBQ Pit, Sky Garden with Vegetable & Herb Corner, Fitness and E-Sport, Kids Gym ขออนุญาตยกตัวอย่างแค่นี้พอเพราะมีเยอะมาก ซึ่งจะเห็นได้เลยว่าพื้นที่ส่วนกลาง มีการสนับสนุนทุกไลฟ์สไตล์ของการใช้ชีวิต
รวมไปถึงห้องพักอาศัยโดยขายแบบ Fully Fitted ซึ่งก็มีให้เลือกหลายแบบ ได้แก่
1 Bedroom ขนาด 34-42 ตารางเมตร |
1 Bedroom Loft ขนาด 39-58 ตารางเมตร |
2 Bedroom ขนาด 57-73 ตารางเมตร |
3 Bedroom ขนาด 92-93 ตารางเมตร |
Duplex ขนาด 104-133 ตารางเมตร |
Penthouse ขนาด 160-190 ตารางเมตร |
Forest Duplex Penthouse ขนาด 159-183 ตารางเมตร |
โดดเด่นด้วยการออกแบบ Layout ที่เรียบง่ายแต่ใช้งานได้จริง อีกทั้งความสูงของเพดานถ้าเป็นห้อง1-3 Bedroom จะได้ความสูงที่ 2.8 เมตร ซึ่งให้มาสูงกว่าบ้านเดี่ยวด้วยซ้ำ ยิ่งถ้าเป็นห้องแบบ Duplex คือสูงจัดเต็มไปเลย 6 เมตร ให้ความรู้สึกเหมือนอยู่บ้าน ซึ่งทางโครงการลงทุนทำเป็นห้องตัวอย่างเพื่อให้เห็นกับตาตัวเอง
โดยได้ถึง 3 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ มีการแบ่งแยกอย่างเป็นสัดส่วน ได้ห้องครัวแบบปิดมี Common Area ขนาดใหญ่เชื่อมต่อพื้นที่ห้องทานข้าวกับห้องนั่งเล่น ส่วน Master Bedroom จะอยู่ที่ชั้นล่างพร้อมห้องน้ำในตัว
ถัดไปชั้นบนจะมีอีก 2 ห้องนอน และ 1 ห้องน้ำ เพื่อรองรับสมาชิกในครอบครัวได้ 3-4 คนเลยทีเดียว มองดูแล้วคือดีไซน์จัดสรรพื้นที่ทั้งแบบเป็นส่วนตัว และพื้นที่ทำกิจกรรมร่วมกันได้อย่างพอเหมาะพอดี ราคาเริ่มต้น 5.5 ล้านบาท*
สิ่งหนึ่งที่เห็นได้ชัด คือความใส่ใจในทุกรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ที่ได้คัดสรรทุกวัสดุไปจนถึงเฟอร์นิเจอร์ โดยผ่านการคำนึงถึงการใช้งานของสัตว์เลี้ยง ในทุกตารางเมตรได้อย่างสมบูรณ์แบบ และแบบนี้คนรักสัตว์อย่างเรา จะไปเลือกที่ไหนได้ถ้าไม่ใช่ที่นี่!!
จึงอยากให้ทุกคนลองมาสัมผัส ประสบการณ์การอยู่อาศัยรูปแบบใหม่ ที่ให้ความรู้สึกเหมือนหลุดเข้าไปอยู่อีกมิติหนึ่งก็ว่าได้ ผ่านโครงการ Whizdom The Forestias ในราคาเริ่มต้น 5.3 ล้านบาท* เชื่อเถอะว่านี่จะกลายเป็นทรัพย์สิน ที่คุณจะต้องภูมิใจที่สุดอย่างแน่นอน สนใจคลิกลงทะเบียนที่นี่ >>> http://bit.ly/3aeUWSZ หรือโทร 1265
เปิด Pre-sale วันที่ 6 - 7 พฤศจิกายน 2564 นี้
พิเศษโปรโมชั่น
1 bedroom ส่วนลด 100,000 บาท
2 bedroom ส่วนลด 150,000 บาท
3 bedroom ส่วนลด 250,000 บาท
สำหรับตึก Petopia พิเศษฟรีค่าส่วนกลาง 1 ปี และส่วนลดพิเศษ ณ วันโอน
พร้อมกับ Package เพิ่มเติมสุดพิเศษจาก Petology (ของมีจำนวนจำกัด)
Livinginsider - Weekly Insight Report [03-09 Nov 2024]
2024-11-11
Livinginsider - Weekly Insight Report [27 Oct-02 Nov 2024]
2024-11-04
Livinginsider - Weekly Insight Report [20-26 Oct 2024]
2024-10-28
Livinginsider - Weekly Insight Report [13-19 Oct 2024]
2024-10-21
Reference Ekkamai | ที่สุดของทำเลที่เป็นมากกว่าใจกลางเมือง เพราะนี่คือเอกมัยย่านแห่ง Design District สุดเจ๋ง ติดอันดับ 27 ของโลก ให้คุณสามารถออกแบบชีวิตอย่างมีสไตล์ได้แบบอิสระ
2024-10-17
บทความดีๆ ก็ที่นี่หล่ะนะ
ดีมากๆเลยค่ะ ลงบ่อยๆนะคะ
น่าอยู่มากเลย ต้องเก็บเงินหน่อยล่ะ
รีวิวอ่านง่าย รูปภาพสวยครับ
ให้ข้อมูลดี เอาไว้ศึกษาดีค่ะ