เมื่อสังคมเปลี่ยนเเปลงเข้าสู่ศตวรรษเเห่งผู้สูงอายุ อัตราการเกิดน้อย วัยเเรงงานลดลงเเละผู้คนมีอายุยืนยาวมากขึ้น หลายประเทศในโลกกำลังเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ ที่มีรูปแบบหลากหลายเเละแตกต่างกันไปตามสภาพแวดล้อม เช่น ความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ การพัฒนาทางด้านการแพทย์เเละโภชนาอาหาร
ไทยก็เป็นหนึ่งในประเทศเหล่านั้นเช่นกัน ซึ่งสำนักงานสถิติเเห่งชาติ ระบุไว้ว่าประเทศไทยจะก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุตั้งแต่ปี 2548 โดยมีประชากรผู้สูงอายุ ร้อยละ 10.4 ของประชากรทั้งประเทศ เเละคาดว่าจะเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์ ในช่วงปี 2567-2568 หรืออีกไม่ถึง 10 ปีนี้
จากข้อมูลประชากรของประเทศไทยพบว่า ปี2556 ประชากรไทยมีจำนวน 64.6 ล้านคน เป็นผู้สูงอายุมากถึง 9.6 ล้านคน และคาดว่าในปี 2573 จะมีจำนวนผู้สูงอายุ 17.6 ล้านคน (ร้อยละ 26.3) และปี 2583 จะมีจำนวนถึง 20.5 ล้านคน (ร้อยละ 32.1)
ช่วงเวลาระหว่างการเดินเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุนี้ จึงก่อให้เกิดธุรกิจใหม่เข้ามารองรับเเละตอบสนองความเปลี่ยนเเปลงนี้ คือธุรกิจ "ลองสเตย์ Long Stay" หรือการท่องเที่ยวเเบบพำนักระยะยาว
จังหวัดเชียงใหม่ถือเป็นหนึ่งในจังหวัดที่มีนักท่องเที่ยวเข้ามาเพื่อปักหลัก "พักอยู่อาศัยระยะยาว" มากที่สุดในประเทศไทย โดยมีนักท่องเที่ยวเข้าพำนักระยะยาวกว่า 2-3 หมื่นคนต่อปี และสร้างมูลค่าเงินหมุนเวียนกว่าหนึ่งหมื่นล้านบาท โดยทางภาครัฐและเอกชนได้ร่วมโครงการผลักดันไปสู่ต้นเเบบเมืองสุขภาพ ยกระดับมาตรฐานเพื่อพัฒนาการเติบโตของสังคมผู้สูงอายุ พร้อมกระตุ้นตลาดการท่องเที่ยวไปพร้อมๆกัน
สำหรับในปีนี้ กลุ่มสี่จังหวัดภาคเหนือ เชียงใหม่-ลำพูน-ลำปาง-เเม่ฮ่องสอน จับมือจัดงานบิ๊กโปรเจ็กต์ " Lanna Expo 2016" ในวันที่ 30 มิถุนายน - 6 กรกฎาคม ต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 เพื่อนำร่องความเป็นผู้นำเเห่งเมืองสุขภาพ
"ประชาชาติธุรกิจออนไลน์" มีโอกาสเดินทางไปเยี่ยมชม "วีโว่ เบเน่ วิลเลจ”ลองสเตย์เพื่อผู้สูงอายุครบวงจร สังคมดูแลสุขภาพผู้สูงวัยที่ใหญ่ที่สุดในเชียงใหม่ ดำเนินกิจการมาตั้งแต่ปี 2557 บนพื้นที่ 22 ไร่ ในอำเภอดอยสะเก็ด เปิดให้บริการลูกค้าทุกเพศทุกวัย กว่า 72 ห้อง โดยผู้เข้าพักจะมีอายุเฉลี่ยอยู่ที่ 60 ปี โดยมีส่วนทีออกแบบไว้เพื่ออยู่เป็นครอบครัว รองรับญาติที่มาเยี่ยมทั้งวัยรุ่นและเยาวชน
สำหรับการออกแบบนั้นจะเน้นสไตล์ Universal Design บ้านทุกหลังจะเป็นบ้านเดี่ยว 1 ชั้น พร้อมสระว่ายน้ำที่มีความสูง 80 เซนติเมตร เพื่อให้แขกที่ใช้วีลแชร์สามารถลงเล่นน้ำได้
มาร์ค เฮนรี่ ดูมัวร์ เจ้าของกิจการ วีโว่ เบเน่ วิลเลจ ชาวสวิตเซอร์แลนด์ เล่าว่า เขาเริ่มมาอยู่ที่เมืองไทยโดยทำงานที่โรงแรมอมารี เชียงใหม่และมีภรรยาเป็นคนไทย จึงตัดสินใจตั้งหลักปักฐานที่เชียงใหม่มากว่า 20 ปีแล้ว ทางครอบครัวจึงต้องการจะลงทุนในธุรกิจใหม่ ซึ่งเป็นธุรกิจโรงแรมและบริการเพราะตนเองมีประสบการณ์มานาน
เขามองว่า ธุรกิจ “ลองสเตย์” สำหรับผู้สูงอายุคือธุรกิจแห่งอนาคต เนื่องจากโลกของเรากำลังเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุในไม่ช้า อีกทั้งโลเคชั่นของจังหวัดเชียงใหม่นั้นเป็นเมืองท่องเที่ยวที่มีนักท่องเที่ยวมาเยือนตลอดปี สภาพอากาศก็ดีเหมาะแก่การดูแลสุขภาพ บรรยากาศก็สงบ ความทันสมัยก็ครบครัน จึงเป็นเมืองที่เหมาะสมกับการพักผ่อนระยะยาว
“ตอนนี้ลงทุนไปแล้ว 15 ล้านฟรังสวิส (ราว540ล้านบาท) เราคาดว่าอีกไม่นานธุรกิจนี้จะคืนทุนได้และสร้างกำไรต่อเนื่องในอนาคต ช่วงนี้รายได้อาจจะยังไม่เยอะมาก แต่แน่ใจได้เลยว่าธุรกิจนี้ “รุ่ง” แน่นอน เพราะโลกเรากำลังเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ จึงต้องมีธุรกิจมารองรับการเปลี่ยนแปลงนี้ ยิ่งเตรียมตัวเร็วและเริ่มเร็ว ก็จะทำให้เราก้าวไปข้างหน้าได้ดีกว่า มีโอกาสประสบความสำเร็จมากกว่า จึงต้องรีบคว้าโอกาสนี้ไว้” ดูมัวร์กล่าว
เจ้าของวีโว่ เบเน่ วิลเลจ เปิดเผยอีกว่า จุดเด่นของที่นี่คือการดูแล อย่างออกแบบให้บ้านแต่ละหลังจะมีการทาเเถบสีคนละสีและเน้นให้ผู้อยู่อาศัยจดจำง่าย จัดสรรให้มีพื้นที่ส่วนกลาง มีสังคมร่วมกัน เช่น ร่วมรับประทานอาหารและร้องเพลงเต้นรำ ภายในบ้านสามารถเดินทางไปมาได้โดยวีลแชร์ได้ทั้งหลัง พื้นจะเรียบเสมอกันทั้งบ้าน เพดานโล่ง โปร่งรับอากาศและแสงธรรมชาติ
สำหรับรูปแบบการจัดการได้รับแรงบันดาลใจมาจากสวิตเซอร์แลนด์ถึงร้อยละ 95 ทั้งนี้ยังตั้งอยู่ในบริเวณเงียบสงบแต่ไม่ไกลจากตัวเมืองมากโดยมีการประสานงานกับทางโรงพยาบาลดอยสะเก็ดและโรงพยาบาลกรุงเทพเชียงใหม่หากเกิดเหตุฉุกเฉินขึ้น
ขณะนี้ลูกค้าส่วนใหญ่ ยังเป็นชาวยุโรป โดยเฉพาะชาวสวิตเซอร์แลนด์ กลุ่มลุกค้าจะเป็นกลุ่มผู้สูงอายุที่แข็งแรง ต้องการมาพักผ่อนและใช้ชีวิตอย่างสงบและเรียบง่าย อีกส่วนจะเป็นผู้สูงอายุที่มีปัญหาสุขภาพ เช่น อัลไซเมอร์ ก็จะมีผู้เชี่ยวชาญและพยาบาลวิชาชีพคอยดูแลอย่างใกล้ชิด เน้นให้เขาได้ทำทุกอย่างด้วยตนเอง จะได้เกิดความภูมิใจและดูแลตัวเองได้
“ที่สวิสฯการจะอยู่แบบนี้ ต้องใช้ค่าใช้จ่ายสูงมาก อีกทั้งยังมีพนักงานดูแลน้อย แต่ที่นี่เรามีทุกอย่างพร้อมและมีผู้ดูแลเฉพาะทางเพียงพอ ต่อไปจะเริ่มขยายตลาดไปยังกลุ่มผู้เข้าพักชาวเอเชีย เช่นชาวญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ พร้อมขยายตลาดไปหากลุ่มลุกค้าฝั่งอเมริกามากขึ้น” ดูมัวร์กล่าว
ด้านนายกฤษดา ขุ่ยอาภัย ผู้ช่วยผู้จัดการ เล่าว่า ส่วนใหญ่แขกจะอยู่นานหนึ่งเดือนขึ้นไป แต่ละวันก็จะมีกิจกรรมภายนอกให้ทำ เช่นพาไปท่องเที่ยวในตัวเมืองเชียงใหม่ ไปร้านอาหารและสถานที่พักผ่อนต่างๆ ส่วนกิจกรรมภายในออกกำลังกาย นวดสปา ว่ายน้ำ และคอร์สสอนทำอาหาร ทำสวน เป็นต้น
สำหรับค่าที่พักจะคิดรวมทั้งอาหารและบริการเสริม แพ็กเกจเริ่มต้นที่ราคา 75,000 ต่อเดือน และมีหลากหลายโปรแกรมให้เลือกตามความเหมาะสมของลูกค้า โดยขณะนี้เรามีพนักงานอยู่ถึง 70 คน มีพยาบาลสลับหมุนเวียนคอยดูแลใกล้ชิด 15 คน
“อะไรก็ตามที่แขกทำเองได้ เราจะให้เขาทำเอง เขาจะรู้สึกมีคุณค่าด้วยตนเอง ซึ่งที่นี่จะแตกต่างกับบ้านพักคนชราเพราะที่นี่ไม่มีข้อจำกัดทางอายุ พวกเขาจะรู้สึกเหมือนอยู่บ้าน ไม่ได้มารักษาตัวแต่มาพักร้อน" กฤษดากล่าว
นายดูมัวร์ ปิดท้ายว่า อยากให้รัฐบาลช่วยเหลือด้านการประชาสัมพันธ์ธุรกิจลองสเตย์ให้มากขึ้น เพราะนักท่องเที่ยว ที่มาพักระยะยาวเป็นนักท่องเที่ยวที่มีคุณภาพ ไม่ทำลายธรรมชาติ ที่สำคัญคือเป็นกลุ่มที่และใช้เงินจับจ่ายสูง เป็นช่องทางที่จะนำเม็ดเงินเข้าสู่ไทยได้มากทั้งตอนนี้และในอนาคต
ด้านนายเฉลิมชาติ นครังกุล ประธานกิตติมศักดิ์หอการค้าเชียงใหม่ ให้สัมภาษณ์กับประชาชาติออนไลน์ว่า ธุรกิจลองสเตย์เติบโตขึ้นอย่างมาก โดยเฉพาะในเชียงใหม่ที่มีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติเดินทางมาเข้าพักตลอดปีกว่า 2-3 หมื่นคนต่อปี และใช้จ่ายสูงต่อหัวเฉลี่ยไม่ต่ำกว่าคนละ 5 หมื่นบาทต่อเดือน ซึ่งส่งผลให่มีเงินสะพัดในธุรกิจลองสเตย์ของเชียงใหม่กว่าไม่ต่ำกว่าหนึ่งหมื่นล้านบาทต่อปี โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวชาวญี่ปุ่นชาติเดียวก็เข้ามาพำนักระยะยาวในไทยถึง 3,133 คน (ข้อมูลปี 2558 )
“ทางหอการค้าเชียงใหม่ มีการส่งเสริมให้เกิดร่างกฎหมายมาตรฐานที่พักอาศัยของธุรกิจลองสเตย์ ซึ่งกำลังจะเป็นร่างพ.ร.บ.ที่ออกมาใช้ในอนาคต โดยมีการระบุว่าผู้ประกอบการต้องมีสิ่งอำนวยความสะดวกอะไรบ้าง พร้อมด้วยการออกแบบที่เหมาะสมและปลอดภัย
ในขณะนี้ทางเชียงใหม่กำลังผลักดันเรื่อง "วีซ่า" ที่อนุญาตให้ชาวต่างชาติที่เข้ามาอยู่อาศัยระยะยาวได้เพียงครั้งละ 1 ปี แตกต่างกับประเทศคู่แข่งในโซนอาเซียนของเราอย่าง มาเลเซียที่อนุญาตให้วีซ่านักท่องเที่ยวถึง 10 ปี ซึ่งทางเราจะผลักดันให้อยู่นาน 5 ปี เป็นอย่างน้อย” นายเฉลิมชาติกล่าว
ประธานกิตติมศักดิ์หอการค้าเชียงใหม่ กล่าวต่อว่า บรัษัทที่ดูแลผู้สูงอายุในเชียงใหม่มีมากมายหลายแห่ง แต่ส่วนมากเป็นแค่การดูแลผู้สูงอายุที่ดูแลตนเองไม่ได้และไม่มีบริการอื่น ส่วนธุรกิจลองสเตย์เพื่อผู้สูงอายุแบบครบวงจรและได้รับมาตรฐานจริงๆนั้นมีไม่ถึง 5 แห่ง ซึ่งตอนนี้ได้ผลักดันให้มีการรวมกลุ่มและจัดสร้าง “เชียงใหม่ สมาร์ทคอมมิวนิตี้ หรือ Hospica villa” ซึ่งมีประกอบการทั้งไทยและญี่ปุ่นเข้าร่วมทุน 6 ราย โดยลงทุนกว่า 400 ล้านบาท รองรับนักท่องเที่ยวอยู่ยาวได้ถึง 500 คน คาดว่าจะแล้วเสร็จปลายปี 2562 นี้
“นอกจากธุรกิจที่อยู่อาศัยของผู้สูงอายุแล้ว สิ่งหนึ่งที่ต้องจับตามองก็คือ“แฟชั่นของผู้สูงอายุ” ที่เป็นเทรนด์ที่จะมาพร้อมกัน หากเราอยู่ในชุมชนที่ดี มีสุขภาพที่ดี ก็จะสามารถประหยัดงบประมาณด้านค่ารักษาพยาบาลไปได้มหาศาล จึงเป็นการลงทุนเพื่ออนาคต ธุรกิจด้านสุขภาพและผู้สูงอายุมีแต่จะโตไปข้างหน้า จึงต้องรีบเตรียมการไว้ตั้งแต่ตอนนี้”
ข้อมูลละเอียดดีครับ ขอบคุนสำหรับ ข้อมูลนะครับ
บทความดีๆ ก็ที่นี่หล่ะนะ
เขียนบทความน่าอ่านมากเลย
อัพเดตเร็ว ข้อมูลตรงเว่อร์จ้าาาา
บทความดีครับ
สู้ๆ ครับ เป็นกำลังใจให้ผู้เขียน สร้างสรรค์ผลงานมีประโยชน์ออกมาเยอะๆ ครับ